พระมหากษัตริย์ พระองค์ที่ ๖

พระกษัตริย์ พระองค์ที่ ๖


สมเด็จพระนครินทราธิราช ทรงเป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ ๖ แห่งกรุงศรีอยุธยา และ พระมหากษัตริย์องค์ที่ ๓ แห่งราชวงศ์สุพรรณภูมิทรงครองราชย์ณ กรุงศรีอยุธยาเป็นเวลา ๑๕ ปี เฉลิมพระนามว่าสมเด็จพระนครินทราธิราช (สมเด็จพระอินทราธิราช หรือสมเด็จพระอินทราชาธิราช) นับเป็นจุดเริ่มต้นที่ราชวงศ์สุพรรณภูมิจะได้ครองอำนาจอย่างเด็ดขาดในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาตอนล่าง ทั้งหมด ภายใต้พระมหากษัตริย์ราชวงศ์สุพรรณภูมิซึ่งได้ครองราชสมบัติที่กรุงศรีอยุธยาสืบต่อมา อีกหลายพระองค์ 

สมเด็จพระนครินทราธิราชเสด็จพระราชสมภพเมื่อ พ.ศ. ๑๘๘๒ เป็นพระราชนัดดาใน สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๑ (ขุนหลวงพะงั่ว) ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์สุพรรณภูมิที่ครองราชย์ณ กรุงศรีอยุธยา พระนามเดิมขณะครองเมืองสุพรรณบุรีก่อนขึ้นครองราชย์ที่กรุงศรีอยุธยาคือเจ้านคร- อินทร์ทรงมีความสัมพันธ์กับจีนอย่างสนิทสนมถึงกับเคยเสด็จฯ ไปเฝ้าจักรพรรดิจีนเมื่อ พ.ศ. ๑๙๒๐ เพื่อถวายเครื่องราชบรรณาการ ได้แก่ ช้างขอ (ช้างที่ฝึกแล้ว) เต่า และของพื้นเมือง เมื่อเสด็จกลับ จักรพรรดิจีนได้พระราชทานเครื่องผ้านุ่งห่มเป็นชุดและผ้าแพรพรรณต่างๆกลับมาด้วย ความสัมพันธ์ ในระบบการทูตบรรณาการอย่างใกล้ชิดกับราชสำนักจีนเช่นนี้เอื้อประโยชน์แก่ฝ่ายที่มีสัมพันธไมตรีด้วย คือ ในทางการเมือง เนื่องจากจีนเป็นจักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่ การรับทูตจากเจ้าเมืองใดถือว่าเจ้าเมืองนั้น ได้รับสิทธิธรรมในการเป็นผู้ปกครอง ส่วนในทางเศรษฐกิจ ระบบการทูตบรรณาการเปิดโอกาสให้มีการ ค้าขายกับจีนมากยิ่งขึ้น ด้วยเหตุนี้แม้ว่าเจ้านครอินทร์เป็นเพียงเจ้าเมืองสุพรรณบุรีจักรพรรดิจีนก็ ทรงให้ความสนิทสนมและทรงยกย่องว่าเป็นกษัตริย์อีกพระองค์หนึ่งในระดับเดียวกับสมเด็จพระเจ้า รามราชา

ต่อมาสมเด็จพระเจ้ารามราชาทรงมีข้อพิพาทกับเจ้าพระยามหาเสนาบดีอัครมหาเสนาบดี จนถึงกับเจ้าพระยามหาเสนาบดีต้องหนีไปขึ้นกับเจ้านครอินทร์และยกกำลังจากสุพรรณบุรีมายึด พระราชวัง แล้วกราบทูลเชิญเจ้านครอินทร์ขึ้นครองราชย์ณ กรุงศรีอยุธยา เมื่อ พ.ศ. ๑๙๕๒ เฉลิม พระนามว่าสมเด็จพระนครินทราธิราช ขณะมีพระชนมายุได้ ๗๐ พรรษา ตามหลักฐานของวันวลิต ส่วนสมเด็จพระเจ้ารามราชาก็ได้รับการโปรดเกล้าฯ ให้ไปครองเมืองปทาคูจาม เมื่อสมเด็จพระ นครินทราธิราชขึ้นครองราชย์แล้วก็ยังคงส่งเสริมสัมพันธไมตรีกับจีนต่อไป ด้วยการส่งราชทูตไปเจริญ ทางพระราชไมตรีกับจีนอย่างสม่ำเสมอ ส่งผลต่อความเจริญรุ่งเรืองทางการค้า เศรษฐกิจ และ ศิลปกรรมของไทยในช่วงต้นสมัยอยุธยา นับเป็นปัจจัยสำคัญที่ปูพื้นฐานความเจริญรุ่งเรืองให้แก่ กรุงศรีอยุธยาในระยะเวลาต่อมา

ผลของความมั่งคั่งทำให้มีการซื้อสินค้าอันงดงามประณีตและมีราคาสูงจากต่างประเทศเข้ามา ที่สำคัญ ได้แก่ ผ้าแพรพรรณหลากสีผ้าต่วน เครื่องประดับ เครื่องใช้สอย และเครื่องปั้นดินเผาเคลือบ ชนิดต่างๆ ที่สวยงามจากจีนในสมัยราชวงศ์เหม็ง ซึ่งมีใช้กันอย่างแพร่หลายทั้งในราชสำนักและ ตามบ้านผู้มีฐานะของกรุงศรีอยุธยา

การติดต่อค้าขายกับภายนอกโดยเฉพาะกับจีนทำให้กรุงศรีอยุธยาเป็นศูนย์กลางของการค้าขาย ทั้งภายในและภายนอกประเทศ มีการรับและการเรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ๆ มีการผลิตสินค้าเครื่อง สังคโลกและเครื่องปั้นดินเผาส่งไปค้าขายกับต่างประเทศตามหมู่เกาะที่ใกล้เคียง เช่น มลายูชวา และฟิลิปปินส์ นับเป็นสิ่งใหม่ๆที่นอกเหนือไปจากการส่งสินค้าป่าประเภทต่างๆเป็นสินค้าออกตาม แบบเดิม ในระยะนี้เมืองบางเมืองในราชอาณาจักรได้กลายเป็นเมืองอุตสาหกรรมในการผลิตเครื่อง สังคโลกและเครื่องปั้นดินเผา เช่น เมืองสุโขทัย ศรีสัชนาลัย และพิษณุโลก สมเด็จพระนครินทราธิราช ได้ทรงขอช่างปั้นจีนมาสอนและทำเครื่องถ้วยชามในเมืองไทย และเนื่องจากพระองค์ทรงมีอำนาจเหนือ อาณาจักรสุโขทัยด้วย ก็คงทรงเลือกเมืองสุโขทัยและศรีสัชนาลัยเป็นแหล่งอุตสาหกรรมการผลิตเครื่อง สังคโลก เพราะเป็นแหล่งที่มีดินที่เหมาะแก่การทำเครื่องสังคโลก

ในด้านงานช่างศิลปกรรม มีการสร้างและบูรณปฏิสังขรณ์วัดวาอารามที่สำคัญตามเมืองต่างๆ ที่อยู่ภายในราชอาณาจักร เช่น ที่เมืองสุพรรณภูมิหรือสุพรรณบุรีมีการสร้างพระปรางค์วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ การสร้างพระปรางค์เป็นพระเจดีย์ประธานคงเกิดขึ้นในสมัยอยุธยาตอนต้นนี้เอง และแพร่ หลายทั่วไปทั้งในเขตพระนครศรีอยุธยาและหัวเมืองสำคัญ เช่น ราชบุรีเพชรบุรีสุพรรณบุรีสิงห์บุรี สวรรคโลก ฯลฯ การนำเครื่องปั้นดินเผาเคลือบมาใช้เป็นเครื่องประดับสถาปัตยกรรมทางศาสนา เช่น กระเบื้องมุงหลังคา ช่อฟ้าบราลีรวมทั้งกระเบื้องปูพื้นโบสถ์วิหารที่พบตามวัดสำคัญต่างๆดังในเมือง สุโขทัยและศรีสัชนาลัยก็เกิดขึ้นในระยะนี้ รวมทั้งงานจิตรกรรมฝาผนังที่เขียนขึ้นตามผนังในโบสถ์ วิหารและในพระสถูปเจดีย์ก็เริ่มแพร่หลาย ซึ่งล้วนได้รับอิทธิพลทางการช่างและศิลปกรรมจากจีน

นอกจากสมเด็จพระนครินทราธิราชได้ทรงสร้างความเป็นปึกแผ่นให้แก่กรุงศรีอยุธยาในด้านการ ค้าขายกับต่างประเทศและความเจริญรุ่งเรืองทางศิลปวิทยาการดังกล่าวมาแล้ว พระองค์ยังทรงเริ่ม สร้างความมั่นคงและความยิ่งใหญ่ในทางการเมืองให้แก่อาณาจักรอยุธยาด้วย ดังทรงพยายามผนวก กรุงสุโขทัยและสุพรรณบุรีให้เข้ามาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับกรุงศรีอยุธยา กล่าวคือ เมื่อ พ.ศ. ๑๙๖๒ พระมหาธรรมราชาที่ ๓ แห่งสุโขทัยเจ้าเมืองพิษณุโลก (เมืองชัยนาทบุรี) เสด็จสวรรคต เมืองเหนือ ทั้งปวงเป็นจลาจลอันเนื่องมาจากพระยาบาลเมืองและพระยารามพระราชโอรสของพระมหาธรรมราชา ที่ ๓ (บางท่านว่าเป็นพระราชโอรสของพระมหาธรรมราชาที่ ๒) ทรงแย่งชิงราชสมบัติแห่งกรุงสุโขทัย กัน เป็นเหตุให้สมเด็จพระนครินทราธิราชต้องเสด็จฯ ขึ้นไปถึงเมืองพระบาง (เมืองนครสวรรค์) แล้ว ทรงไกล่เกลี่ยให้พระยาบาลเมืองเป็นกษัตริย์แห่งกรุงสุโขทัยครองเมืองพิษณุโลกอันเป็นเมืองหลวง และให้พระยารามเป็นเจ้าเมืองสุโขทัยอันเป็นเมืองเอก โดยต่างมีสถานะเป็นประเทศราชขึ้นต่ออยุธยา ในครั้งนี้คงจะแยกเขตแดนเมืองสุโขทัยกับเมืองพิษณุโลกให้ปกครองเป็นต่างอาณาเขตกัน ดังนั้นจะเห็น ได้ว่าตอนนี้สุโขทัยยอมรับอำนาจของอยุธยา อยุธยาเข้ามาไกล่เกลี่ยกรณีพิพาทภายในได้และยังมี อำนาจแต่งตั้งกษัตริย์ของสุโขทัย ตลอดจนจัดแบ่งการปกครองภายในให้แก่สุโขทัยด้วย

ในช่วงนี้เองยังได้เกิดปรากฏการณ์ที่แสดงให้เห็นว่าอยุธยาได้เปลี่ยนยุทธวิธีจากการใช้สงคราม เป็นเครื่องมือในการขยายอำนาจขึ้นไปทางเหนือ เป็นการพยายามแทรกซึมเข้าไปในราชวงศ์สุโขทัยเพื่อ ควบคุมอย่างเด็ดขาด กล่าวคือเจ้าสามพระยาพระราชโอรสองค์หนึ่งของสมเด็จพระนครินทราธิราชได้ เสกสมรสกับเจ้าหญิงสุโขทัย ซึ่งเป็นการสร้างความสัมพันธ์ทางด้านราชวงศ์ระหว่างอาณาจักรเหนือ คือสุโขทัยและอาณาจักรใต้คืออยุธยา ทั้งสองพระองค์ได้ทรงให้กำเนิดสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ซึ่งต่อมาจะทรงเป็นผู้รวมอาณาจักรเหนือและอาณาจักรใต้เข้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

นอกจากนี้สมเด็จพระนครินทราธิราชยังได้โปรดเกล้าฯ ให้พระราชโอรสไปครองเมืองลูกหลวง ต่างๆเพื่อความมั่นคงของราชอาณาจักร ได้แก่ เจ้าอ้ายพระยาครองเมืองสุพรรณบุรีซึ่งเป็นเมือง ลูกหลวง เจ้ายี่พระยาครองเมืองแพรกศรีราชา (เมืองสรรค์คือบริเวณอำเภอสรรคบุรีจังหวัดชัยนาท ในปัจจุบัน) และเจ้าสามพระยาครองเมืองชัยนาท (เมืองพิษณุโลก) ซึ่งเป็นเมืองหน้าด่านทางด้านเหนือ ในช่วงระหว่าง พ.ศ. ๑๙๖๒-พ.ศ. ๑๙๖๗

สมเด็จพระนครินทราธิราชครองราชย์ได้ ๑๕ ปีก็เสด็จสวรรคตเมื่อ พ.ศ. ๑๙๖๗

นามานุกรมพระมหากษัตริย์ไทย

คลิกอ่านจากไฟล์ pdf »