พระกษัตริย์ พระองค์ที่ ๗
สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๒ (เจ้าสามพระยา) ทรงเป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ ๗ แห่งกรุงศรีอยุธยา เป็นพระราชโอรสพระองค์ที่ ๓ ของสมเด็จพระนครินทราธิราช ทรงครองราชย์ พ.ศ. ๑๙๖๗-พ.ศ. ๑๙๙๑
ไม่ปรากฏหลักฐานว่าเจ้าสามพระยาประสูติเมื่อใด แต่พงศาวดารฉบับวันวลิต (Van Vliet) ว่า เมื่อขึ้นครองราชสมบัติมีพระชนมายุ ๓๕ พรรษา เหตุที่ทำให้พระองค์ได้ราชสมบัติก็เพราะพระเชษฐา คือ เจ้าอ้ายพระยาผู้ครองเมืองสุพรรณบุรีกับเจ้ายี่พระยาผู้ครองเมืองแพรกศรีราชา (เมืองสรรค์) แย่งชิง ราชสมบัติกันเมื่อพระราชบิดาสวรรคต โดยการทำยุทธหัตถีที่เชิงสะพานป่าถ่านในพระนครศรีอยุธยา แล้วสิ้นพระชนม์ด้วยกันทั้งคู่ ขุนนางผู้ใหญ่จึงไปอัญเชิญเจ้าสามพระยา ซึ่งขณะนั้นครองเมืองชัยนาท หรือเมืองพิษณุโลกขึ้นครองราชสมบัติทรงพระนามว่าสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๒
ช่วงเวลาที่สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๒ ขึ้นครองราชสมบัติเป็นสมัยเดียวกับช่วงต้นราชวงศ์หมิง (Ming) ของจีน (พ.ศ. ๑๙๑๑-พ.ศ. ๒๑๘๗) และจักรพรรดิหย่งเล่อ (Yong Le ครองราชย์ พ.ศ. ๑๙๔๕-พ.ศ. ๑๙๖๗) ทรงแผ่แสนยานุภาพทางทะเล โดยส่ง “กองเรือมหาสมบัติ” ขนาดใหญ่ให้ มหาขันทีนายพลเรือเจิ้งเหอ (Zheng He พ.ศ. ๑๙๑๔-พ.ศ. ๑๙๗๖) ออกสำรวจทางทะเล เจิ้งเหอ และบางส่วนของกองเรือมหาสมบัติเคยแวะพระนครศรีอยุธยา ๒ ครั้ง ในการเดินทางครั้งที่ ๒ (พ.ศ. ๑๙๕๐-พ.ศ. ๑๙๕๑) ในรัชกาลสมเด็จพระเจ้ารามราชา และครั้งที่ ๖ (พ.ศ. ๑๙๖๔-พ.ศ. ๑๙๖๕) ในรัชกาลสมเด็จพระนครินทราธิราช การเดินทางของกองเรือมหาสมบัติครั้งที่ ๗ ซึ่งเป็นครั้งสุดท้าย (พ.ศ. ๑๙๗๔-พ.ศ. ๑๙๗๖) มีขึ้นในสมัยจักรพรรดิชวนเต๋อ (Xuan De ครองราชย์พ.ศ. ๑๙๖๘- พ.ศ. ๑๙๗๘) ซึ่งตรงกับสมัยสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๒ (เจ้าสามพระยา) แม้กองเรือจะไม่ได้แวะ ที่กรุงศรีอยุธยา แต่ก็ย่อมเป็นที่รับรู้ได้เพราะกองเรือมีถึง ๑๐๐ ลำ ลูกเรือ ๒๗,๕๐๐ คน อย่างไรก็ดี การแผ่แสนยานุภาพทางทะเลของจีนไม่ได้ทำให้สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๒ ประสบความยุ่งยาก แต่อย่างใด เพราะพระราชบิดาทรงวางพื้นฐานความสัมพันธ์ที่ดีไว้แล้วจากการที่พระองค์เคยเสด็จไปจีน ดังนั้นความสัมพันธ์ใน “ระบบบรรณาการ” กับจีนจึงดำเนินต่อมาด้วยดี
พระราชภารกิจแรกของสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๒ คือ การถวายพระเพลิงพระศพ พระเชษฐาทั้ง ๒ พระองค์สถานที่นั้นโปรดให้สร้างพระมหาธาตุและพระวิหารเพื่อเป็นวัดซึ่ง พระราชทานนามว่าวัดราชบูรณะ และที่พระเชษฐาทรงทำยุทธหัตถีโปรดให้ก่อพระเจดีย์๒ องค์
พระราชพงศาวดารกรุงเก่าฉบับหลวงประเสริฐอักษรนิติ์ซึ่งถือว่ามีความถูกต้องทั้งเหตุการณ์ และศักราช ได้กล่าวถึงพระราชกรณียกิจของสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๒ ไว้ดังนี้
๑. มีชัยชนะเหนืออาณาจักรขอม พ.ศ. ๑๙๗๔ สามารถยึดเมืองพระนครหรือนครธม (Angkor Thom) ซึ่งเป็นชัยชนะอย่างเด็ดขาด เป็นที่ยอมรับของนักประวัติศาสตร์ทั้งหลาย ไม่เหมือนกับ ชัยชนะของอยุธยาต่อเมืองพระนครครั้งก่อนหน้านั้น คือ ในสมัยสมเด็จพระเจ้าอู่ทองและสมเด็จ ขุนหลวงพะงั่ว ซึ่งเป็นที่โต้แย้งกันอยู่ว่ามีจริงหรือไม่ ชัยชนะในครั้งนี้โปรดให้“พระนครอินทร์” ราชโอรสครองที่เมืองพระนครด้วย และมีการกวาดต้อน “พระยาแก้ว พระยาไท” เชื้อพระวงศ์และ ขุนนางขอมพร้อมรูปประติมากรรมเข้ามา การได้เชื้อพระวงศ์และขุนนางขอมมาในครั้งนี้น่าจะมีผล ต่อการปฏิรูปการปกครองในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ (พ.ศ. ๑๙๙๑-พ.ศ. ๒๐๓๑) ในเวลาต่อมา
๒. ทรงตั้งพระราชโอรสเป็นสมเด็จพระราเมศวรที่พระมหาอุปราชซึ่งโปรดให้ตั้งขึ้นเป็นครั้งแรก ไปครองเมืองพิษณุโลกเมื่อ พ.ศ. ๑๙๘๑ แทนผู้ครองเมืองแต่เดิม ซึ่งเป็นเชื้อพระวงศ์สุโขทัย การตั้ง สมเด็จพระราเมศวรไปครองเมืองพิษณุโลกมีความสำคัญมาก เพราะเป็นจุดเริ่มต้นในการรวมอาณาจักร สุโขทัยให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับอาณาจักรอยุธยา เพราะสมเด็จพระราเมศวรมีพระราชมารดาเป็น เจ้าหญิงสุโขทัย ต่อมาสมเด็จพระราเมศวรขึ้นครองราชสมบัติที่กรุงศรีอยุธยาใน พ.ศ. ๑๙๙๑ มี พระนามว่า สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ทรงเห็นความสำคัญของเมืองพิษณุโลกมาก ถึงกับเสด็จไป ประทับที่เมืองพิษณุโลกเมื่อ พ.ศ. ๒๐๐๖ จนเสด็จสวรรคตเมื่อ พ.ศ. ๒๐๓๑
๓. การโจมตีอาณาจักรล้านนา พ.ศ. ๑๙๘๕ และ พ.ศ. ๑๙๘๗ ทรงยกทัพไปตีเชียงใหม่ หลังจากส่งพระราเมศวรไปปกครองพิษณุโลก แต่การตีเชียงใหม่ครั้งแรกไม่สำเร็จเพราะทรงพระประชวร ๒ ปีต่อมา (พ.ศ. ๑๙๘๗) ทรงยกทัพไป “ปราบพรรค” ซึ่งน่าจะเป็นเชียงใหม่ตามพระราชพงศาวดาร ฉบับพระราชหัตถเลขา คราวนี้มีชัยชนะได้เชลยถึง ๑๒๐,๐๐๐ คน หลักฐานจีนหมิงสือลู่ หรือ จดหมายเหตุสมัยราชวงศ์หมิง ได้กล่าวยืนยันการตีเชียงใหม่โดยกองทัพของกรุงศรีอยุธยาไว้ด้วย และ ว่าทางเชียงใหม่ได้ขอพระราชลัญจกรแทนของเก่า เพราะถูกทำลายจากการสงครามในครั้งนี้ซึ่ง จักรพรรดิจีนก็พระราชทานให้
๔. การส่งทูตไปจีน สมัยสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๒ มีการส่งทูตนำบรรณาการไปถวาย จักรพรรดิจีนในลักษณะ “จิ้นก้ง” หรือ “จิ้มก้อง” เพื่อประโยชน์ในการค้าหลายครั้ง และค่อนข้างถี่ ซึ่งอาจจะสอดคล้องกับการที่จีนส่งกองเรือมหาสมบัติมายังน่านน้ำของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และ มหาสมุทรอินเดียก็ได้หลักฐานจากจดหมายเหตุสมัยราชวงศ์หมิงได้กล่าวถึงว่า สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๒ ทรงส่งทูตไปถวายบรรณาการประมาณ ๑๐ ครั้ง บางครั้งส่งไปติดๆกันปีต่อปีบางปี ๒ ครั้ง ซึ่งนับว่าผิดปกติแต่อาจแสดงให้เห็นถึงความรุ่งเรืองทางการค้าของ ๒ ประเทศก็ได้บางครั้งมี การฟ้องจีนว่าทูตไทยถูกจามปาขัดขวางและกักตัว ให้จีนตักเตือนว่ากล่าวจามปาและปล่อยตัวคณะทูต ด้วย มีอยู่ครั้งหนึ่งไทยขอพระราชลัญจกรซึ่งมีความสำคัญในการติดต่อแทนของเก่าเพราะถูกไฟไหม้ พระราชมนเทียร (พ.ศ. ๑๙๘๓) และไหม้พระที่นั่งตรีมุข (พ.ศ. ๑๙๘๔)
๕. ทรงทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ทรงสร้างวัดราชบูรณะ (พ.ศ. ๑๙๖๗) และวัดมเหยงคณ์ (พ.ศ. ๑๙๘๑) ที่พระนครศรีอยุธยา วันวลิต ผู้จัดการสำนักการค้าของบริษัทอินเดียตะวันออกของฮอลันดา (V.O.C.) สมัยสมเด็จ พระเจ้าปราสาททอง ได้กล่าวถึงสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๒ (เจ้าสามพระยา) ในหนังสือพงศาวดาร กรุงศรีอยุธยาฉบับวันวลิต พ.ศ. ๒๑๘๒ ว่า
...พระองค์เป็นนักรบโดยกำเนิด ทรงเฉลียวฉลาด มีโวหารดีรอบคอบ มีความเมตตา กรุณา พระองค์เอาใจใส่ดูแลทหารและข้าราชบริพารเป็นอย่างดีพระองค์ทรงเป็นนัก เสรีนิยม ทรงสร้างและบูรณะวัดหลายแห่ง ทรงให้ความช่วยเหลือทั้งพระและคนยากจน พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ที่มีความเมตตามากที่สุดเท่าที่ประเทศสยามเคยมีทุก ๆ ๑๐ ถึง ๑๕ วัน พระองค์จะเสด็จไปในเมืองและถามทุกข์สุขประชาชนว่า ทุกคนได้รับสิ่งของที่เขา มีสิทธิ์ที่จะได้และได้รับความช่วยเหลือหรือไม่เพียงไร…
สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๒ (เจ้าสามพระยา) ทรงเป็นกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่พระองค์หนึ่งของสมัย กรุงศรีอยุธยา พระองค์ทรงรวมอาณาจักรสุโขทัยเข้ากับอาณาจักรอยุธยา ทรงแผ่อำนาจครอบคลุม อาณาจักรขอมที่รุ่งเรืองและมีอำนาจมากที่เมืองพระนคร (Angkor) ทรงมีชัยชนะต่ออาณาจักรล้านนา ทรงติดต่อค้าขายกับจีน ทรงทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา และทรงตั้งธรรมเนียมการมีพระมหาอุปราช สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๒ เสด็จสวรรคตเมื่อ พ.ศ. ๑๙๙๑ ทรงครองราชสมบัติรวม ๒๔ ปี
สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๒ (เจ้าสามพระยา) ทรงเป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ ๗ แห่งกรุงศรีอยุธยา เป็นพระราชโอรสพระองค์ที่ ๓ ของสมเด็จพระนครินทราธิราช ทรงครองราชย์ พ.ศ. ๑๙๖๗-พ.ศ. ๑๙๙๑
ไม่ปรากฏหลักฐานว่าเจ้าสามพระยาประสูติเมื่อใด แต่พงศาวดารฉบับวันวลิต (Van Vliet) ว่า เมื่อขึ้นครองราชสมบัติมีพระชนมายุ ๓๕ พรรษา เหตุที่ทำให้พระองค์ได้ราชสมบัติก็เพราะพระเชษฐา คือ เจ้าอ้ายพระยาผู้ครองเมืองสุพรรณบุรีกับเจ้ายี่พระยาผู้ครองเมืองแพรกศรีราชา (เมืองสรรค์) แย่งชิง ราชสมบัติกันเมื่อพระราชบิดาสวรรคต โดยการทำยุทธหัตถีที่เชิงสะพานป่าถ่านในพระนครศรีอยุธยา แล้วสิ้นพระชนม์ด้วยกันทั้งคู่ ขุนนางผู้ใหญ่จึงไปอัญเชิญเจ้าสามพระยา ซึ่งขณะนั้นครองเมืองชัยนาท หรือเมืองพิษณุโลกขึ้นครองราชสมบัติทรงพระนามว่าสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๒ ช่วงเวลาที่สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๒ ขึ้นครองราชสมบัติเป็นสมัยเดียวกับช่วงต้นราชวงศ์หมิง (Ming) ของจีน (พ.ศ. ๑๙๑๑-พ.ศ. ๒๑๘๗) และจักรพรรดิหย่งเล่อ (Yong Le ครองราชย์ พ.ศ. ๑๙๔๕-พ.ศ. ๑๙๖๗) ทรงแผ่แสนยานุภาพทางทะเล โดยส่ง “กองเรือมหาสมบัติ” ขนาดใหญ่ให้ มหาขันทีนายพลเรือเจิ้งเหอ (Zheng He พ.ศ. ๑๙๑๔-พ.ศ. ๑๙๗๖) ออกสำรวจทางทะเล เจิ้งเหอ และบางส่วนของกองเรือมหาสมบัติเคยแวะพระนครศรีอยุธยา ๒ ครั้ง ในการเดินทางครั้งที่ ๒ (พ.ศ. ๑๙๕๐-พ.ศ. ๑๙๕๑) ในรัชกาลสมเด็จพระเจ้ารามราชา และครั้งที่ ๖ (พ.ศ. ๑๙๖๔-พ.ศ. ๑๙๖๕) ในรัชกาลสมเด็จพระนครินทราธิราช การเดินทางของกองเรือมหาสมบัติครั้งที่ ๗ ซึ่งเป็นครั้งสุดท้าย (พ.ศ. ๑๙๗๔-พ.ศ. ๑๙๗๖) มีขึ้นในสมัยจักรพรรดิชวนเต๋อ (Xuan De ครองราชย์พ.ศ. ๑๙๖๘- พ.ศ. ๑๙๗๘) ซึ่งตรงกับสมัยสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๒ (เจ้าสามพระยา) แม้กองเรือจะไม่ได้แวะ ที่กรุงศรีอยุธยา แต่ก็ย่อมเป็นที่รับรู้ได้เพราะกองเรือมีถึง ๑๐๐ ลำ ลูกเรือ ๒๗,๕๐๐ คน อย่างไรก็ดี การแผ่แสนยานุภาพทางทะเลของจีนไม่ได้ทำให้สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๒ ประสบความยุ่งยาก แต่อย่างใด เพราะพระราชบิดาทรงวางพื้นฐานความสัมพันธ์ที่ดีไว้แล้วจากการที่พระองค์เคยเสด็จไปจีน ดังนั้นความสัมพันธ์ใน “ระบบบรรณาการ” กับจีนจึงดำเนินต่อมาด้วยดี พระราชภารกิจแรกของสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๒ คือ การถวายพระเพลิงพระศพ พระเชษฐาทั้ง ๒ พระองค์สถานที่นั้นโปรดให้สร้างพระมหาธาตุและพระวิหารเพื่อเป็นวัดซึ่ง พระราชทานนามว่าวัดราชบูรณะ และที่พระเชษฐาทรงทำยุทธหัตถีโปรดให้ก่อพระเจดีย์๒ องค์ พระราชพงศาวดารกรุงเก่าฉบับหลวงประเสริฐอักษรนิติ์ซึ่งถือว่ามีความถูกต้องทั้งเหตุการณ์ และศักราช ได้กล่าวถึงพระราชกรณียกิจของสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๒ ไว้ดังนี้ ๑. มีชัยชนะเหนืออาณาจักรขอม พ.ศ. ๑๙๗๔ สามารถยึดเมืองพระนครหรือนครธม (Angkor Thom) ซึ่งเป็นชัยชนะอย่างเด็ดขาด เป็นที่ยอมรับของนักประวัติศาสตร์ทั้งหลาย ไม่เหมือนกับ ชัยชนะของอยุธยาต่อเมืองพระนครครั้งก่อนหน้านั้น คือ ในสมัยสมเด็จพระเจ้าอู่ทองและสมเด็จ ขุนหลวงพะงั่ว ซึ่งเป็นที่โต้แย้งกันอยู่ว่ามีจริงหรือไม่ ชัยชนะในครั้งนี้โปรดให้“พระนครอินทร์” ราชโอรสครองที่เมืองพระนครด้วย และมีการกวาดต้อน “พระยาแก้ว พระยาไท” เชื้อพระวงศ์และ ขุนนางขอมพร้อมรูปประติมากรรมเข้ามา การได้เชื้อพระวงศ์และขุนนางขอมมาในครั้งนี้น่าจะมีผล ต่อการปฏิรูปการปกครองในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ (พ.ศ. ๑๙๙๑-พ.ศ. ๒๐๓๑) ในเวลาต่อมา ๒. ทรงตั้งพระราชโอรสเป็นสมเด็จพระราเมศวรที่พระมหาอุปราชซึ่งโปรดให้ตั้งขึ้นเป็นครั้งแรก ไปครองเมืองพิษณุโลกเมื่อ พ.ศ. ๑๙๘๑ แทนผู้ครองเมืองแต่เดิม ซึ่งเป็นเชื้อพระวงศ์สุโขทัย การตั้ง สมเด็จพระราเมศวรไปครองเมืองพิษณุโลกมีความสำคัญมาก เพราะเป็นจุดเริ่มต้นในการรวมอาณาจักร สุโขทัยให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับอาณาจักรอยุธยา เพราะสมเด็จพระราเมศวรมีพระราชมารดาเป็น เจ้าหญิงสุโขทัย ต่อมาสมเด็จพระราเมศวรขึ้นครองราชสมบัติที่กรุงศรีอยุธยาใน พ.ศ. ๑๙๙๑ มี พระนามว่า สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ทรงเห็นความสำคัญของเมืองพิษณุโลกมาก ถึงกับเสด็จไป ประทับที่เมืองพิษณุโลกเมื่อ พ.ศ. ๒๐๐๖ จนเสด็จสวรรคตเมื่อ พ.ศ. ๒๐๓๑ ๓. การโจมตีอาณาจักรล้านนา พ.ศ. ๑๙๘๕ และ พ.ศ. ๑๙๘๗ ทรงยกทัพไปตีเชียงใหม่ หลังจากส่งพระราเมศวรไปปกครองพิษณุโลก แต่การตีเชียงใหม่ครั้งแรกไม่สำเร็จเพราะทรงพระประชวร ๒ ปีต่อมา (พ.ศ. ๑๙๘๗) ทรงยกทัพไป “ปราบพรรค” ซึ่งน่าจะเป็นเชียงใหม่ตามพระราชพงศาวดาร ฉบับพระราชหัตถเลขา คราวนี้มีชัยชนะได้เชลยถึง ๑๒๐,๐๐๐ คน หลักฐานจีนหมิงสือลู่ หรือ จดหมายเหตุสมัยราชวงศ์หมิง ได้กล่าวยืนยันการตีเชียงใหม่โดยกองทัพของกรุงศรีอยุธยาไว้ด้วย และ ว่าทางเชียงใหม่ได้ขอพระราชลัญจกรแทนของเก่า เพราะถูกทำลายจากการสงครามในครั้งนี้ซึ่ง จักรพรรดิจีนก็พระราชทานให้ ๔. การส่งทูตไปจีน สมัยสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๒ มีการส่งทูตนำบรรณาการไปถวาย จักรพรรดิจีนในลักษณะ “จิ้นก้ง” หรือ “จิ้มก้อง” เพื่อประโยชน์ในการค้าหลายครั้ง และค่อนข้างถี่ ซึ่งอาจจะสอดคล้องกับการที่จีนส่งกองเรือมหาสมบัติมายังน่านน้ำของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และ มหาสมุทรอินเดียก็ได้หลักฐานจากจดหมายเหตุสมัยราชวงศ์หมิงได้กล่าวถึงว่า สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๒ ทรงส่งทูตไปถวายบรรณาการประมาณ ๑๐ ครั้ง บางครั้งส่งไปติดๆกันปีต่อปีบางปี ๒ ครั้ง ซึ่งนับว่าผิดปกติแต่อาจแสดงให้เห็นถึงความรุ่งเรืองทางการค้าของ ๒ ประเทศก็ได้บางครั้งมี การฟ้องจีนว่าทูตไทยถูกจามปาขัดขวางและกักตัว ให้จีนตักเตือนว่ากล่าวจามปาและปล่อยตัวคณะทูต ด้วย มีอยู่ครั้งหนึ่งไทยขอพระราชลัญจกรซึ่งมีความสำคัญในการติดต่อแทนของเก่าเพราะถูกไฟไหม้ พระราชมนเทียร (พ.ศ. ๑๙๘๓) และไหม้พระที่นั่งตรีมุข (พ.ศ. ๑๙๘๔) ๕. ทรงทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ทรงสร้างวัดราชบูรณะ (พ.ศ. ๑๙๖๗) และวัดมเหยงคณ์ (พ.ศ. ๑๙๘๑) ที่พระนครศรีอยุธยา วันวลิต ผู้จัดการสำนักการค้าของบริษัทอินเดียตะวันออกของฮอลันดา (V.O.C.) สมัยสมเด็จ พระเจ้าปราสาททอง ได้กล่าวถึงสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๒ (เจ้าสามพระยา) ในหนังสือพงศาวดาร กรุงศรีอยุธยาฉบับวันวลิต พ.ศ. ๒๑๘๒ ว่า ...พระองค์เป็นนักรบโดยกำเนิด ทรงเฉลียวฉลาด มีโวหารดีรอบคอบ มีความเมตตา กรุณา พระองค์เอาใจใส่ดูแลทหารและข้าราชบริพารเป็นอย่างดีพระองค์ทรงเป็นนัก เสรีนิยม ทรงสร้างและบูรณะวัดหลายแห่ง ทรงให้ความช่วยเหลือทั้งพระและคนยากจน พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ที่มีความเมตตามากที่สุดเท่าที่ประเทศสยามเคยมีทุก ๆ ๑๐ ถึง ๑๕ วัน พระองค์จะเสด็จไปในเมืองและถามทุกข์สุขประชาชนว่า ทุกคนได้รับสิ่งของที่เขา มีสิทธิ์ที่จะได้และได้รับความช่วยเหลือหรือไม่เพียงไร… สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๒ (เจ้าสามพระยา) ทรงเป็นกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่พระองค์หนึ่งของสมัย กรุงศรีอยุธยา พระองค์ทรงรวมอาณาจักรสุโขทัยเข้ากับอาณาจักรอยุธยา ทรงแผ่อำนาจครอบคลุม อาณาจักรขอมที่รุ่งเรืองและมีอำนาจมากที่เมืองพระนคร (Angkor) ทรงมีชัยชนะต่ออาณาจักรล้านนา ทรงติดต่อค้าขายกับจีน ทรงทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา และทรงตั้งธรรมเนียมการมีพระมหาอุปราช สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๒ เสด็จสวรรคตเมื่อ พ.ศ. ๑๙๙๑ ทรงครองราชสมบัติรวม ๒๔ ปี | ||