พระบรมราโชวาท

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว


นักเขียน นักประพันธ์ งานสำคัญก็คือ แสดงความคิดของตนออกมา เป็นเรื่องชีวิต หรือเรื่องแต่งขึ้นมา เพื่อให้ผู้อื่นได้ประโยชน์ คือความรู้บ้าง บันเทิงบ้าง นักแสดงความคิดสำคัญมาก เพราะว่ามีอิทธิพลต่อชีวิตของ มวลมนุษย์ อาจทำ ให้เกิดความคล้อยตามไป และตัวท่านเขียนดีก็ยิ่งคล้อย ตามกันมาก ฉะนั้น นักประพันธ์ต้องมีความรับผิดชอบสูง เพราะท่านเป็นผู้ปั้นความคิดและความบริสุทธิ์ในความคิดจึงเป็นเรื่องที่สำคัญ ดังบทความ กลั่นกรองไว้ในสมองว่า สิ่งที่จะเขียนออกมาจะไม่แสลง ไม่ทำลายความคิด ของประชากร ไม่ทำลายผู้อื่น และตนเอง คือมีเสรีภาพในการเขียนอย่างเต็มที่ในขอบเขตของศีลธรรม

วันศุกร์ที่ ๓ พฤศจิกายน ๒๕๑๕



ชมรม แห่งภาคภาษา

ชมรมพระอักษร


ชื่อชมรม “บทพระอักษรสยาม” สร้างขึ้น เพื่อความจะไม่เลือนลบ หรือเลอะเลือนไปอย่างขมขื่น ในอักษรภาษา ซึ่งเป็นภาคภาษาในชาติของตน ที่ได้ตั้งกำหนดบทกำกับดำเนินมาในกิจธุระ เกิดมาทุกแห่ง จึงกำหนดให้ว่า ได้มีชื่อชมรม เป็นการสถิตมั่น เพื่อต่อแบบของกรณียกิจทั้งปวงไว้แก่การอนุรักษ์ ให้ไว้จวบจนกระทั่ง เวลา ชั่วลูกสืบหลาน ถึงสิ้นกาลนานตลอดสิ้นเวลา ไม่มีขอบเขต ปรากฏเป็นบท อันมีชื่อ เรียกว่า “ภาษาของชนชาติไทย” ณ บัดนี้.

พระอักษรสยาม

Seal Krabi.png
• Siam Thawip Thi Nueng
Seal Kanchanaburi.png
• Siam Thawip Thi Song
Seal Khon Kaen.png
• Siam Thawip Thi Sam
Seal Chanthaburi.png
• Siam Thawip Thi Si

☆ Make Files Post For Save Phasa Thai ☆


ภูมิ ทำคำนวณ

คำโหรา บทพระอนุยนต์ อักษร รหัส


จิตต์ คือ มูลพฤกษา
ชัญญ์ คือ แก่น มหิมา
ปัญญา คือ ใบตระการ
ปุพพลี คือ ดอกดวงมาล
สันนิบาต ปูนปาน คือ ลูก และดอกอนันต์
สรีร์ คือ เปลือกพัวพัน
อักขระ องค์บรรพ คือ กิ่งก้าน แกมใบ
อันติมะ งาม วิไล เป็นกระดูก ลูกใน ให้พอใจกับโลกทั้งปวง

เรื่อง นี้ว่า ภูมิคำ อนุยนต์คำบอก จะให้แทงรหัสได้ เห็นว่าจะมาจาก ตำรา เก่า เมื่อโน่น ซึ่งหาหลักฐานไม่พบเสียแล้ว คงมีเค้าอยู่ใน ฉบับ มาตรฐาน บอกอยู่ แต่ส่วนหนึ่ง ไม่เห็นหลักฐานว่าลง ฉะนั้น ว่า คำนับ ไปตามจำนวน เฉพาะแต่การบอกอย่างใหม่ อันนี้ แต่ง ขึ้น ให้ว่าลง ไปถึง ๙ ประการ จากเดิม ที่ ความ ๗—๘ ประการ เท่านั้น ว่า เป็นอย่างไว้ ถึงนำเอาโพธิพฤกษ์ชีวิต มา เป็นหลักฐาน ความในแนว ที่จะให้ใจสำรวม จิตจรดบทบาทส่วนคิด เป็นมา เป็นความ ว่า แต่โดยย่อ ลงมา

จึงขออธิบาย นัยว่า เดิมคงแปร ที่สุด เคล้าความ คงทำไว้ เดิม แบบ ๓ นัย คือ จิต นิยาม, อุตุ นิยาม (ธรรมชาติแวดล้อม), และ พีช นิยาม (เหตุ, พืช) แล้วกะการณ์ ด้วยจะแปรประโยชน์ เกณฑ์ ไป จากนั้น เพื่อความอยู่ปรกติ เป็นผาสุก

ถึง ความ ๙ ประการ แล้ว อย่างใหม่ กว่า ให้อธิบาย เพิ่ม ลงไปตรง เหตุ อันชื่อว่า นาม แห่งพีชนิยาม ความนั้น ว่า ได้แก่ ประสงค์วิธี วุทธิพฤกษา นั้น จัด เป็น รากไม้ ๑, เป็น แก่นไม้ ๑, เป็น ใบไม้ ๑, เป็น ดอกเกสร ๑, เป็น ดอกผล ๑, เป็น เปลือกไม้ ๑, เป็น กิ่งก้านไม้ ๑, เป็นใน คือ เมล็ดลูกไม้ ๑, แล้วสารูป เป็น ปตฺตร ว่า วิญญา อาณัติ ตก เป็นสัญญา ที่ ๙ คือ สันหน้า อันคนจะว่า ออกท่ามกลาง อรรถะประโยชน์ อธิบาย ไปให้นั้น

เป็น จบความ แบบอนุทิน อักษร ทำคำนวณ ย่อ จรดบท ๙ รหัส

จงดูประกอบการนับ เกณฑ์ นักษัตร อย่าง พระมหาบรรเทา จันทรศร นั้น

ปูมราชธรรม

ปูมราชธรรม ๙ ประการ


๑. จาเรพยัตติ (ว่าด้วยสอน โสภณเป็นทรัพย์)

โต่งต่ำ บ่ ปัตติเป็น พยัต
บ่ ปรีชา ธนาธัช ตรวจก้อง
ศัตรูบังคับกล กรายยศ กล้ำตัว
ไลย์ภมรซาบละอองซ่อง โสพิศ จเร ฯ

(ปูมราชธรรมว่า ดังนี้. จาเรพยัตตินั้นดังฤๅ อุปรมาประดุจดังแมลงภู่ สวภาวะแห่งแมลงภู่นั้นไซร้ ย่อมบินแสวงหาดอกไม้อันมีกลิ่นนั้น ครั้นแลประสบพบได้กลิ่นดอกไม้นั้นแล้ว ก็บินมุ่งหมายมาสู่ดวงดอกไม้นั้น แลทำประทักษิณแก่ดอกไม้นั้นแล้ว จึงโอนเคล้าเอาซราบละอองเกสรดอกไม้นั้นแล้ว ก็บินไปสู่ยังเวฬุคูหาทองนั้น อุปรมาดุจนั้น อันว่าบุคคลผู้มีปรีชาอันฉลาด แลจะแสวงหาประโยชน์ในอิหโลก แลจักใคร่แจ้งซึ่งอันประพฤติผิดแลชอบนั้น แลจะใฝ่แก่กิตติโฆษเพื่อจะให้จำเริญเกียรติยศให้ฦๅชาปรากฏไซร้ ก็พึงให้บำราศความประมาทนั้นเสียแล้ว จงให้มีความเพียรแสวงหาคัมภีร์ฎีกาทั้งปวงนั้นก็ดี แลให้วิริยะสู่หาสมาศัพท์ด้วยสมณพราหมณ์ก็ดี แลให้วิริยะเฝ้าแหนผู้มีอีศวรภาพซึ่งได้ครอบครองนั้นก็ดี แลให้วิริยะสู่หาสมาศัพท์ไต่ถามนักปราชญ์ผู้กอปรด้วยปัญญาญาณนั้นก็ดี แลให้เคารพแก่บิดามารดาครูอาจารย์แลผู้มีอายุศม์นั้นก็ดี แลให้วิริยะในคัมภีร์โลกุดรธรรมแลราชานุวัตรก็ดี โลกวัตรก็ดี แลให้วิริยะในคีติดนตรีแลเครื่องประดับประดาทั้งปวงนั้นก็ดี แลให้รู้สรรพวิชาการอันจะเลี้ยงชีวิตแห่งอาตมนั้นก็ดี แลให้เชื่อผลกรรมแลจำศีลภาวนาบริจาคทานก็ดี บุคคลดังนี้ชื่อว่าแสวงหาประโยชน์แห่งอาตมในอิหโลกบรโลก อุปรมาประดุจดังช่างร่อน สุภาวะช่างร่อนนั้นไซร้ ร่อนเลือกแต่บรรดากรวดแลดินทรายนั้นออกเสียแล้ว จึงประมูลเอา แต่อันหนักนั้นมาส่ำสมไว้ แลบุคคลผู้เป็นพหูสูต พหูทัสสะ พหูสิปปะ พหูสิกขี เหตุได้พบเห็นสดับฟังร่ำเรียนจำเนียรมามาก แลบุคคลดังนี้ประดุจแมลงภู่แลช่างร่อน อาจารย์กล่าวไว้ ชื่อจาเรพยัตติแล)

๒. โยคพยัตติ (ว่าด้วยไปถึง เสนางคนิกรชนทุกเหล่า)
  
ไพเราะเอื้อง เอมโอษฐ์ โอทา
เสนางค์โยค คำมา นบแล้ว
พลศิริยาตรา ปวงคน คณิสร
เกตุปูมลาภนรชนแล เลขเพี้ยง พยัตต์พยนต์ ฯ

(ปูมราชธรรมว่า ดังนี้. สัตว์ทั้งปวงนั้นไซร้ มีโยค ๔ ประการคือ โยคศิริ ๑ โยคพล ๑ โยคยาตรา ๑ โยคเสนางค์ ๑
อันว่าโยคศิรินั้น พระมหากระษัตริย์พระองค์ใดจะให้มีฤทธานุภาพแล ปลูกศรีมหาโพธิ กุฎีวิหารแลขุดสระบ่อน้ำ แลบริจาคจตุประจัยแก่สงฆ์ แลแต่งข้าวบิณฑ์ข้าวบาตรฉัตรธงธูปเทียนบูชาสการะพระเจดีย์แลศรีมหาโพธิ แลให้แผ้วถางถนนหนทาง แลปลูกสร้างปราสาทราชมนเทียรแลสวนอุทยาน สระน้ำบ่อน้ำแลให้พลีกรรมเทวดาอันรักษาโลกนั้นเป็นอาทิ คือเทพดาโสดาบัน แลเทพดามหิมาธิก แลเทพดามเหสักข์อันอยู่ในเมืองนอกเมือง แลบริจาคทานแก่สมณพราหมณ์แลยาจกพันนิพกทั้งหลาย แลให้รู้จักคุณวิเศษรักใคร่ผู้มีคุณวิชญาการทั้งปวงนั้นเป็นอาทิ คือ ช่างเขียน ช่างฉลัก ช่างกลึง ช่างไม้ ช่างเหล็ก ช่างนวการ แลช่างขับรำแลดุริยดนตรีเล่นการมหรสพ แลตั้งพิทธีโดยฤกษ์ตามฤดูกาลนั้น แลประพฤติโดยลักษณะดังนี้ไซร้ คือว่าจะให้จำเริญศรีสวัสดีแห่งเมือง ชื่อว่าโยคศิริแล

อันว่าโยคพลนั้นเป็นอาทิ คืออำมาตย์เสนาบดีมนตรีมุข แลผู้ได้บังคับบัญชา แลเศรษฐีคฤหบดีนอกเมืองในเมือง แลนายบ้านขว้านช่องแลข้าส่วยไร่ แลควาญช้างควาญม้าชาวไร่นาอากรลูกค้าวานิช แลประชาราษฎรอันอยู่ในแว่นแคว้นสีมามณฑลนั้นก็ดี อันเป็นหูเมือง ตาเมือง จรมูกเมือง ปากเมือง ตีนเมือง มือเมือง ท้องเมือง ข้างเมืองนั้นก็ดี แลคนทั้งปวงนี้ควรให้เจียดทองพานทอง แลบ้านเมืองแลไร่นาอากรตรหลาดขนอนก็ดี ควรให้ประทานรางวัลเป็นอาทิคือ ขันเงินขันทองแลเสื้อผ้าก็ดี แลให้พิจารณาโดยอัชฌาสัยคุณแห่งบุคคลทั้งปวงนั้นแล้ว จึงให้พระทานรางวัลเลี้ยงดูตามคุณวิชญาการนั้น แลให้สงเคราะห์ด้วยถ้อยคำอันไพเราะประดุจศัพท์สำเนียงเสียงพิณแห่งท้าวอุเทนราชอันผูกตรากหูช้างแลใจช้างทั้งปวงไว้นั้น ลักษณะดังนี้ว่าหว่านไมตรีผูกตรากใจคนทั้งปวงไว้ คือว่ารักใคร่ไพร่พลทั้งปวง ชื่อว่าโยคพลแล

อันว่าโยคเสนางค์นั้นให้ป้องกันรักษาเมือง แลแต่งค่ายคู เขื่อน ทวาร หอรบแลธงไชยแลจตุรงคพลทั้งสี่จงครบสรรพไว้ แลจดุรงคพลทั้งสี่นั้นคือ พลช้างสรรพด้วยจำลองแลกโจมอันมีพรรณต่าง ๆ แลทหารซึ่งจะขี่คอช้างนั้น สรรพด้วยหมวกแลเกราะนวมประดับสำหรับช้าง แลพลม้านั้น สรรพด้วยทวนอันมีส้นแลตรูถือสำหรับม้านั้น แลรถนั้นประดับธงเทียวแลหางยูงแลชนนกอันมีพรรณนั้น แลทหารซึ่งขี่รถนั้นถือทวนยาวแลธนูหน้าไม้ พลเดินนั้นถือด้างแลเขนเงินเขนทองแลทวนเทา แลธนูหน้าไม้แลปืนใหญ่ปืนนกสับ ลาง บ้างถือตรวดแลคบไฟ หม้อชัน แลจัดทหารทั้งปวงไว้แล้ว จึงแต่งเป็นนายทัพนายกองยุกรบัตรเกียกกาย แลสารวัตรอาชญาศึก กองแล่นกองใช้แลสรรพแล้ว จึงให้ไปตั้งประจำอยู่ทุกหัวเมืองทั้งปวงตามใกล้แลไกลนั้น แลตกแต่งการดังนี้ ชื่อว่าโยคเสนางค์แล

อันว่าโยคยาตรานั้น ถ้าแลพระมหากระษัตริย์พระองค์ใดจะยาตรายกทัพศึกไปไซร้ให้ชุมนุมโหราจารย์แลราชครูแลสมณพราหมณ์แล้วให้หาฤกษ์อันดี แลให้รู้จักยายีนาคร แล้วให้บูชาพระเจดีย์แลศรีมหาโพธิ แลสมณพราหมณ์ แลกทำพลีกรรมในเมืองแลนอกเมือง เลี้ยงดูทแกล้วทหารไพร่พลทั้งปวง แลให้แผ้วถนนหนทางประดับด้วยราชวัติฉัตรธง ครั้นแลได้ฤกษ์ไซร้ ให้ประคมฆ้องกลองเป็นสัญญาสำคัญไว้แล้ว เสด็จด้วยยาน ๔ประการคือ ช้าง ม้า รถ แลอวน เป็นพาหนะ แลกางเศวตฉัตรขึ้นไว้ แล้วจึงบำเรอด้วยฆ้องกลองแตรสังข์ดุริยดนตรี แลฝ่ายทหารทั้งปวงนั้นใส่หมวกแลประดับด้วยหางยูงแลขนนกอันมีพรรณ แลถืออาวุธต่าง ๆ สำหรับณรงค์นั้น แล้วก็ห้อมล้อมโดยซ้าย ขวา หน้า หลังตามหมู่ตามกรมนั้น จึงพระมหากระษัตริย์นั้นพิษฐานหลั่งน้ำด้วยขันทอง ขอพรแก่เทพดาอันรักษาเศวตฉัตรนั้นแล้ว จึงตีกลองไชยโดยฤกษ์ แลทอดพระเนตรเล็งแล ใกล้ไกลโดยทิศทั้งสี่นั้นแล้ว จึงควรยาตรา ตกแต่งการดังนี้ ชื่อว่าโยคยาตราแล)

๓. โมเจยพยัตติ (ว่าด้วยศัตรูต้องรู้) 

รู้เท่า เกริกเกียรติก้อง โกรธา
รู้พยัตติ โมเจยยา ต้องรู้
ศัตรูมิรู้เกียรติกรายกล้า ละทำนอง
ปล่อยปราชญ์ต้องสองรู้ ละเปลื้องต้อง พฤตินัย ฯ

(ปูมราชธรรมว่า ดังนี้. โมเจยพยัตตินั้นดังฤๅ อุปรมาประดุจดังน้ำปรอทแลน้ำปูน ศิลานั้น สวภาวะปรอทนั้นไซร้ เห็นเป็นก้อนกลมกล่อมอยู่ดุจดังจะหยิบเอาได้ ครั้นแลไปหยิบเอาไซร้ อย่าว่าจะหยิบเอาได้เลย แต่จะชุ่มในนิ้วมือก็หามิได้ สวภาพน้ำปูนนั้นไซร้ เห็นขาวผ่องเป็นนวลอยู่ดังน้ำนม แลดุจกินได้ ครั้นแลกินเข้าไปลำคอคือดังจะเปื่อยทำลายไป ดุจเดียวบุคคลหนึ่งนั้นมีปัญญารู้หลักเฉลียวฉลาด แลบุคคลผู้อื่นทำเล่ห์กลอุบายล่อลวง สงเคราะห์ด้วยธนทรัพย์แก้วแหวนเงินทอง แลถ้อยคำอันไพเราะ ประดุจดังเสียงพิณแห่งท้าวอุเทนราชอันผูกตรากใจช้างไว้ แลประดุจง้วนผึ้งอันเอมโอชนั้น เพื่อจะทำลายอายุศมเดชะตระบะให้ถอยเกียรติยศผลประโยชน์ทั้งปวงนั้นเสีย บุคคลผู้กอปรด้วยปัญญาอันฉลาดนั้น รู้ว่าล่อลวงด้วยกลอุบายแล้ว แลคิดอ่านเปลื้องอาตมให้พ้นจากภัยนั้นได้ อุปรมาประดุจดังพระมโหสถอันกอปรด้วยปัญญาอันฉลาด แม้นราชครูทั้ง ๔ คิดจะทำลายปองร้ายเท่าใดก็ดี มิอาจสามารถจะทำลายเสียได้ เพราะพระปัญญานั้นหาผู้จะเสมอมิได้ แลปัญญามนุษยชาตินี้ก็ยกไว้ บ่เริ่ม เมื่อยังเป็นเดียรัจฉานชาติอยู่นั้น เหตุมีปัญญาอันฉลาด แลมิได้ประมาทลืมสติจึงพ้นจากภัยนั้นก็มี)

๔. ฉายาพยัตติ (ว่าสอนนัยเกี่ยวแก่พยัตติธรรม)

ฉายาวัฒน ต้องเนกขัมมาติ
ครวญรู้ทัน วิชามี บ่ประหาร
เร่งรบใคร่เอา ฉัพพยัตติ รันตราย
รักษ์ไล่รู้หลักวิรางค์ชาย(ชาญ) ต้องรู้ เรืองธรรม์ ฯ

(ปูมราชธรรมว่า ดังนี้. อันว่าฉายาพยัตตินั้น อุปรมาประดุจดังเกลือ สุภาวะเกลือนั้นไซร้ สรรพโภชนาหารโอชรสทั้งปวงนั้น อาศัยแก่เกลือเป็นอาทิจึงมีรส แลบุคคลผู้หนึ่งนั้นมีปัญญาอันฉลาดแลมีสติรักษาพยัตตินั้นไว้ แลรู้คุณวิชญาการในโลก คือคีติดนตรีแลขับรำ ช่างเงิน ช่างทองเหลือง สโนหะ แลอิฐแลง ผ้าแลหนังแลด้ายเข็มนั้นก็ดี แลรู้ครบการทั้งนี้ แลการซึ่งจะเสียไปนั้น ก็รู้บำรุงตกแต่งให้ดี แลพากยวาจาซึ่งจะขาดนั้นก็ต่อสืบได้ แลเป็นศัตรูแก่กันแต่ก่อนมานั้นก็ดี ครั้นแลฟังถ้อยคำแห่งอาตมไซร้ ก็กลับคืนเป็นมิตรสหายรักใคร่กันเล่า แลเนื้อความซึ่งจะอัปราไชยนั้นก็ให้มีไชยชำนะได้ แลคนผู้มีคุณวิชาการรู้หลักดังนี้ อาจารย์กล่าวไว้ว่า ชื่อฉายาพยัตติแล)

๕. ธาราพยัตติ (ว่าสอนเกี่ยวแก่ปริมาณของคำนวณ)

จวบพจญ รำฦกตั้น คัณทูล
คณานวล ควรคูณ บทหาริย์
พูนทรัพย์ รับรอกูล เยาวเรศดั้น
คนวณพอมั่นสถลเสถียร บทต้อง สูญสอง ฯ

(ปูมราชธรรมว่า ดังนี้. อันว่าธาราพยัตตินั้น บุคคลผู้หนึ่งนั้นมีปัญญารู้หลักแลฉลาดในคำนวณควณการ ๑๐ ประการ เป็นอาทิคิดควณทันคัณทูล แลน้ำ แผ่นดิน แลเรือ เกวียน ไม้ หนัง แลทอง เทียน แลฉับชาญชำนาญควณทั้งนี้ จะตั้งพยุหะ ลบ บวก คูณ หาร แลรู้จักโดยคุณสังขยา มาก น้อย สั้น ยาว ตื้น ฦก หนัก เบาทั้งปวงจนเถิง กล่ำ กล่อม แลเมล็ดข้าว เมล็ดงา แลพันธุ์ผักกาด แลเส้นผมนั้นก็ดี อนึ่ง จะดำเนินโดยชลมารค สถลมารคไซร้ ก็จำ ศก มาส วัน คืน แลดาวฤกษ์ทั้งปวงนั้นเป็นสำคัญ แลจะมุ่งหมายไปสถานใด ๆ นั้นก็มิได้แคล้วคลาดซึ่งตามปรารถนานั้น อนึ่ง รู้จักลักษณะสินค้าซึ่งจะควรซื้อขายสะดวกนั้น แลสำคัญด้วย คิ้ว นิ้ว ตา แลคิดอ่านรวดเร็วฉับไวนั้น อาจารย์กล่าวไว้ว่า ชื่อธาราพยัตติแล)

๖. สัลวพยัตติ (ว่าเกี่ยวแก่การผูกจิตไมตรี)

อาตมพทม พยัตป้อง สันติ
ภูตกอปรพร เพทไวทย์วิ รามขำ
สัลลวแลต้องจิต พิรุธนาถ เยาวนี
ดำเนินบกธาตุมี เรืองเดชรอบ ดุจกัลป์ ฯ

(ปูมราชธรรมว่า ดังนี้. อันว่าสัลลวพยัตตินั้น อุปรมาประดุจดังยางรัก ๆ นั้นย่อมผูกพันรัดรึงไว้ให้มั่นคง แลแต่งเครื่องทั้งปวงให้หมดไซร้ แลยังมีบุคคลผู้หนึ่งนั้น แลคนทั้งหลายทั้งปวงซึ่งอยู่รอบคอบใกล้ไกลนั้นย่อมทำสนิทชิดเชื่อผูกรักมักใคร่ให้ปันพัสดุสิ่งใด ๆ นั้นก็ดี แลช่วยกิจการแห่งผู้อื่นนั้นเป็นฉันกิจการแห่งอาตม แลทำประดุจดังญาติ แล้วก็กล่าวถ้อยคำอันเป็นสุภาษิตนั้น แลผู้ได้บังคับบัญชาเป็นใหญ่นั้นก็มีบรรณาการไปสู่หาเนือง ๆ มิได้ขาด แลกิจการแห่งท่านนั้นมิได้เกียจคร้านแลช่วยด้วยหัวใจตามกำลังแห่งอาตม แลผู้กอปรด้วยคุณวุทธิทั้งปวงนั้นก็มีบรรณาการสิ่งอันควรนั้น ผูกเป็นไมตรีไว้ อนึ่ง จะดำเนินโดยทางบก เรือไปสถานใด ๆ ไซร้ แลผู้อยู่หัวบ้านหัวเมืองทั้งนั้นย่อมทำฉันญาติ มิได้ตระหนี่ แลมีของฝากรากไม้ตามบังควรนั้น ผูกพันเป็นมิตรไมตรีไว้ แลกล่าวถ้อยคำอันเป็นสุภาษิตดุจอำมฤตนั้น ครั้นแลเห็นหน้าแลฟังถ้อยคำอันไพเราะนั้น ก็บังเกิดมีความเมตตากรุณา ครั้นแลมีความเมตตากรุณาแล้วจะปรารถนาสิ่งใด ๆ นั้น มิอาจที่จะอำพรางไว้ได้เลย แม้นโลกธรรมสิ่งใด ๆ บังเกิดมีแก่อาตมก็ดีย่อมมีผู้ช่วยทำนุกบำรุง เมื่อแลผูกเป็นพันธมิตรไว้ทุก ๆ หัวบ้านหัวเมืองแลสถานใด ๆ ดุจดังนัยซึ่งกล่าวมานี้ไซร้ คือว่าฝากอาตมแลโภชนาหารไว้แก่คนทั้งปวงนั้นดุจเดียว แลบุคคลกอปรด้วยสติธรรม แลช่องสำแดงพยัตติไว้ให้แจ้งดังนี้ แลพิจารณาเห็นผลประโยชน์แห่งอาตมในอนาคตกาลนั้นไซร้ อาจารย์กล่าวไว้ว่า ชื่อสัลลวพยัตติแล)

๗. ลเหลหาพยัตติ (ว่าเป็นนัยเกี่ยวแก่ทรัพย์สินมีค่า)

รู้ต่ำตื้น ต่อทรัพย์ต้อง โดยเร็ว
รู้หลักเลว ต่อเตือนทรัพย์ ข้าไท้
สำรวมรู้ไว้ มูลมากราพ ลเหลหา
เร่งรวมมุทุตาได้ มวลมัธย์มาก มากัลป์ ฯ

(ปูมราชธรรมว่า ดังนี้. อันว่าลเหลหาพยัตตินั้นอุปรมาประดุจดังปลวก สุภาวะปลวกนั้นไซร้ แม้นก้อนดินแต่ประมาณปลายข้าวสารนั้นก็ดี เหตุกำลังอันอุตสาหะขนเนือง ๆ นั้นก็ให้บังเกิดเป็นจอมปลวกขึ้น แลบุคคลผู้บริบาลรักษาสติธรรมแลสำแดงพยัตติไว้ให้แจ้งแล้วแลตัดความประมาทนั้นเสีย แลมีความเพียรมิได้ลืมสมปฤดีซึ่งจะเลี้ยงชีวิตนั้นทุกเมื่อ แลรู้ขนาดซึ่งจำหน่ายแลประดับประดาแลจะบริโภคกินอยู่ แลจะสำรวลเล่นหัว แลจะประมูลส่ำสม แลรู้บังคับบัญชาตักเตือนข้าไทแลญาติพี่น้องลูกหลานแลคนอันทรมานทนทุกข์ยากแลตัดความเกียจคร้านเสีย แลตั้งความเพียรซึ่งจะเลี้ยงชีวิตดังน้ำในกัลออมอันใสนั้นไซร้ อาจารย์กล่าวไว้ว่า ชื่อลเหลหาพยัตติแล)

๘. สุจิลาพยัตติ (ว่าเป็นนัยสอนเกี่ยวแก่กลอุบาย)

กษัตริย์รุก สู้รบ รารำคาญ
กระต่ายต้วม สาธารณ์ ต้องแล้ว
เศวตวิมาน ก่อกลีราญ ครหณา
รัฐต้วมต้องสุจิลา ล่วงเลิ้ง ลุนปืน ฯ

(ปูมราชธรรมว่า ดังนี้. อันว่าสุจิลาพยัตตินั้น อุปรมาประดุจดังกต่ายล้ำสัตว์จตุบาททั้งปวงไซร้ กต่ายนั้นรู้หลักอุบายกลยิ่งกว่าสัตว์ทั้งปวงนั้น แลผู้ฟังเอาถ้อยคำแห่งกต่ายนั้นไซร้ ก็ย่อมได้ทุกข์รำคาญแค้นเคืองก็มี แลสัตว์อันถ่อยนั้นก็ยกไว้ บ่เริ่มหนึ่งไกรสรสีหราชแลฟังเอาถ้อยคำแห่งกต่ายนั้นไซร้ ก็เถิงซึ่งความพินาศดุจเดียว)

๙. สันนีกพยัตติ (ว่าเป็นนัยสอนเกี่ยวแก่ศิลปะ)

พยัตติอากาศ ดั่งดวงแต้ม แซมเทา
ตรึงตรัยเนาว์ อรุณหลั่ง รุ้งรังสี
กอปรสีเลื่อม เพื่อมพราย ลวตี
สันนีกนึกรดึกดี เมื่อมมาบ มมังกาล ฯ

(ปูมราชธรรมว่า ดังนี้. อันว่าสันนีกพยัตตินั้นดังฤๅ อุปรมาประดุจดังพื้นอากาศแลฉัททันตสระ สภาวะพื้นอากาศนั้นไซร้ ในเพลากาลทั้งสามนั้นก็บังเกิดมีพรรณสามประการ แลในเพลาอรุโณทัยนั้น เมื่ออรุณรังสีก็มีพรรณสี่ประการคือ ดังสีเงินแลสีทองแลสีทองแดงแลสีสัมฤทธิ์ ประดุจดังแกล้งเขียนแต้มแต่งแลเป็นอันงามรุ่งเรืองงามแก่ตาโลกทั้งปวง แลในกาลเมื่อเพลาสายัณห์นั้นไซร้ให้บังเกิดเมฆมีพรรณต่าง ๆ คือ สีทอง แลสีทองแดงแลสัมฤทธิ์ประดุจแกล้งฉละเฉลาแต้มเขียนไง้ ณ พื้นอากาศนั้น แลควรทัศนาการเป็นที่จำเริญใจ งามแก่ตาโลกทั้งปวง แลในเมื่อเพลาอัฑฒยามนั้นก็มีรัศมีรุ่งเรืองประเทืองไปด้วยรัศมีแห่งดาวทั้งปวงแลกอปรด้วยดาวฤกษ์ทั้งร้อยแปดประดับห้อมล้อมพระจันทร์ แลมีเศวตวิมานอันเทียมด้วยเศวตกุญชรอันเป็นโสภณาการแก่ตาโลกทั้งปวง)

ปูมธรรม เนาวพยัตติ

พระมหากษัตริย์ พระองค์ที่ ๑

พระกษัตริย์ พระองค์ที่ ๑


พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ ทรงเป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ ๑ แห่งราชวงศ์พระร่วงกรุงสุโขทัย เสวยราชสมบัติตั้งแต่ พ.ศ. ๑๗๙๒ ถึงปีใดไม่ปรากฏ พระนามเดิมคือพ่อขุนบางกลางหาว มีมเหสีคือ นางเสือง มีพระราชโอรส ๓ พระองค์พระราชธิดา ๒ พระองค์พระราชโอรสองค์ใหญ่สิ้นพระชนม์ ตั้งแต่ทรงพระเยาว์ ส่วนพระราชโอรสองค์ที่ ๒ และ ๓ คือพ่อขุนบานเมืองและพ่อขุนรามคำแหง ทรงครองราชย์ต่อมาตามลำดับ เดิมพ่อขุนบางกลางหาวทรงเป็นเจ้าเมืองอยู่ที่ใดไม่ปรากฏ แต่ข้อความ ในศิลาจารึกหลักที่ ๒ ทำให้ทราบว่าอยู่ใต้เมืองบางยางลงไป มีผู้เสนอความเห็นว่าพ่อขุนบางกลางหาว น่าจะอยู่แถวกำแพงเพชร

ก่อนราชวงศ์พระร่วงอาณาจักรสุโขทัยมีราชวงศ์พ่อขุนศรีนาวนำถุมครองอยู่ ในรัชสมัยของ พ่อขุนศรีนาวนำถุมซึ่งเริ่มประมาณ พ.ศ. ๑๗๖๒ อาณาจักรสุโขทัยครอบคลุมถึงเมืองฉอด (ใกล้แม่น้ำ เมย) ลำพูน น่าน พิษณุโลก ต่อมาอาณาจักรสุโขทัยตกอยู่ใต้อำนาจขอมสบาดโขลญลำพง จนกระทั่ง พ่อขุนผาเมืองโอรสของพ่อขุนศรีนาวนำถุมทรงร่วมมือกับพ่อขุนบางกลางหาวขับไล่ขอมสบาดโขลญ ลำพงไป พ่อขุนบางกลางหาวทรงยึดเมืองศรีสัชนาลัยได้และทรงเวนเมืองให้พ่อขุนผาเมือง พ่อขุน ผาเมืองจึงอภิเษกพ่อขุนบางกลางหาวเป็นกษัตริย์สุโขทัย พ่อขุนผาเมืองซึ่งเป็นพระชามาดา (ลูกเขย) ของกษัตริย์ขอมทรงยกพระนามศรีอินบดินทราทิตย์ซึ่งพระองค์ได้รับมาจากกษัตริย์ขอมมอบให้แก่ พ่อขุนบางกลางหาว แต่พ่อขุนบางกลางหาวทรงใช้พระนามว่า พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ บางทีอาจจะ ทรงเห็นว่าพระนามเดิมมาจากคำ อินทรปัต + อินทร + อาทิตย์แสดงว่าอยู่ใต้อินทรปัตซึ่งเป็น เมืองหลวงของขอม (ดังปรากฏในจารึกหลักที่ ๒) ก็เป็นได้

การที่พ่อขุนผาเมืองทรงยกสุโขทัยและอภิเษกพ่อขุนบางกลางหาวเป็นกษัตริย์อาจจะทรงเห็น ว่าสุโขทัยในขณะนั้นเป็นเมืองเล็กกว่าศรีสัชนาลัย หรืออาจจะเป็นเพราะว่านางเสือง พระมเหสีของ พ่อขุนบางกลางหาวเป็นพระภคินี(พี่สาว) ของพ่อขุนผาเมือง พ่อขุนบางกลางหาวจึงทรงมีสิทธิที่จะได้ ครองเมืองก่อนพ่อขุนผาเมืองก็เป็นได้

พ่อขุนผาเมืองเป็นเจ้าเมืองราด มีพระอนุชาคือพระยาคำแหงพระรามครองเมืองสระหลวง สองแคว (พิษณุโลก) โอรสของพระยาคำแหงพระราม คือ มหาเถรศรีศรัทธาราชจุฬามุนี เมื่อเป็น ฆราวาสมีฝีมือในการสู้รบ ได้ชนช้างชนะหลายครั้ง รู้ศิลปศาสตร์หลายประการ ขณะอายุ ๓๐ ปี มีบุตรแต่เสียชีวิต มหาเถรศรีศรัทธาราชจุฬามุนีจึงออกบวช ได้ไปปลูกต้นโพธิ์สร้างพิหาร อาวาส และ ซ่อมแซมพระศรีรัตนมหาธาตุทั้งในและนอกประเทศ เช่น พม่า อินเดีย และลังกา

อนึ่ง เมืองราดตั้งอยู่ที่ใด มีผู้สันนิษฐานไว้ต่างๆกัน สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยา ดำรงราชานุภาพทรงสันนิษฐานว่าเมืองราดน่าจะอยู่ที่เพชรบูรณ์และเมืองลุมคือเมืองหล่มเก่า แต่ ผู้เขียน (ประเสริฐ ณ นคร) วางตำแหน่งเมืองราด เมืองสะค้า และเมืองลุมบาจายไว้ที่ลุ่มแม่น้ำน่าน ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้

จากจารึกหลักที่ ๒ ทำให้ทราบว่า เมืองราด เมืองสะค้า และเมืองลุมบาจาย เป็นกลุ่มเมืองที่อยู่ ใกล้กัน พ่อขุนผาเมืองอยู่เมืองราด และกษัตริย์น่านมีพระนามผานอง ผากอง และผาสุม แต่กษัตริย์ เมืองอื่นไม่ใช้ “ผา” นำหน้าพระนามเลย พ่อขุนผาเมืองจึงน่าจะเป็นกษัตริย์น่าน (คือ เมืองราดนั่นเอง) นอกจากนี้ยังมีพระราชโอรสของกษัตริย์น่านมีพระนามว่าบาจาย อาจจะแสดงว่าน่านมีอำนาจเหนือ บาจาย แบบพระนามกรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ แสดงว่ากรุงเทพฯ มีอำนาจเหนือราชบุรีนั่นเอง

อีกประการหนึ่ง จารึกหลักที่ ๘ กล่าวถึงไพร่พลของพระเจ้าลิไทยว่า มีทั้งชาวสระหลวง สอง แคว พระบาง ฯลฯ เริ่มตั้งแต่เมืองทางทิศตะวันออกของสุโขทัย แล้วกวาดไปทางใต้ ทางทิศตะวันตก ทางทิศเหนือ จนกลับมาจบที่ทิศตะวันออกตามเดิม จารึกหลักอื่นเช่นหลักที่ ๓๘ และจารึกวัด อโสการาม (หลักที่ ๙๓) ก็ใช้ระบบเดียวกัน โดยถือตามพระพุทธศาสนาว่า ตะวันออกเป็นทิศหน้าแล้ว วนตามเข็มนาฬิกา เริ่มจากสระหลวง สองแควคือพิษณุโลก ไปปากยม (พิจิตร) พระบาง ไปชากังราว สุพรรณภาว กำแพงเพชร รวม ๓ เมืองที่กำแพงเพชร บางพาน (อำเภอพานกระต่าย กำแพงเพชร) ต่อไปจะถึงราด สะค้า ลุมบาจายซึ่งจะอยู่ระหว่างทิศเหนือกวาดมาทางทิศตะวันออกของสุโขทัยและ ย่อมจะอยู่เหนือสระหลวง สองแควขึ้นไป จารึกหลักที่ ๑ วางลุมบาจายและสะค้าไว้ระหว่างพิษณุโลก กับเวียงจันทน์

อีกประการหนึ่ง ตอนพ่อขุนผาเมืองยกมาช่วยพ่อขุนบางกลางหาวรบกับขอมสบาดโขลญลำพง ที่สุโขทัย ถ้าหากพ่อขุนผาเมืองอยู่แถวเพชรบูรณ์ คงจะมาช่วยไม่ทัน

สินชัย กระบวนแสง จากคณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร พบใบลานที่วัดช้างค้ำ เมือง น่าน กล่าวถึงเหตุการณ์สมัยรัชกาลที่ ๒ ว่า เจ้าผู้ครองน่านขึ้นตามแม่น้ำน่านไปถึงอำเภอท่าปลา (ปัจจุบันคือจังหวัดอุตรดิตถ์) ใกล้ห้วยแม่จริม “เมืองราดเก่าหั้น” แสดงว่าสมัยต้นรัตนโกสินทร์ยัง ทราบกันดีว่า เมืองราดอยู่บนแม่น้ำน่านใกล้อำเภอท่าปลา

นามานุกรมพระมหากษัตริย์ไทย

คลิกอ่านจากไฟล์ pdf »

พระมหากษัตริย์ พระองค์ที่ ๒

พระกษัตริย์ พระองค์ที่ ๒


พ่อขุนบานเมือง ทรงเป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ ๒ แห่งราชวงศ์พระร่วงกรุงสุโขทัย เป็น พระราชโอรสของพ่อขุนศรีอินทราทิตย์พ่อขุนรามคำแหงมหาราชเป็นพระอนุชาของพระองค์ พ่อขุน บานเมืองทรงครองราชย์ต่อจากพ่อขุนศรีอินทราทิตย์จนถึง พ.ศ. ๑๘๒๒ พระนามปรากฏในจารึก หลักที่ ๑ และหลักที่ ๔๕ คนทั่วไปมักจะเข้าใจผิดว่าพระนามของพระองค์คือบาลเมือง ทั้งนี้เพราะ สมัยก่อนพระภิกษุสงฆ์เป็นผู้จดบันทึกประวัติศาสตร์จึงมักจะแปลงพระนามเป็นภาษาบาลีไป พ่อขุน บานเมืองเสวยราชสมบัติในปีใดไม่ปรากฏ

อนึ่ง ปีเสวยราชสมบัติของพระมหากษัตริย์สุโขทัยแตกต่างกันไปในเอกสารปัจจุบัน เนื่องจาก แต่เดิมสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงแบ่งเวลาครองราชสมบัติไว้คร่าวๆ เพื่อเป็นแนวทางการศึกษา โดยเฉลี่ยว่าพระมหากษัตริย์สุโขทัยแต่ละพระองค์ทรงครองราชสมบัติ ประมาณ ๒๐ ปี เมื่อมีหลักฐานเพิ่มเติมก็จะปรับศักราชใหม่ตามหลักฐาน รัชกาลพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ พ.ศ. ๑๗๘๐ ถึง พ.ศ. ๑๘๐๐ รัชกาลพ่อขุนบานเมือง พ.ศ. ๑๘๐๐ ถึง พ.ศ. ๑๘๒๐ รัชกาลพ่อขุน รามคำแหงมหาราช พ.ศ. ๑๘๒๐ ถึง พ.ศ. ๑๘๖๐ ทรงเพิ่มเวลาให้เพราะทรงทราบว่าพ่อขุนรามคำแหง มหาราชทรงใช้เวลาขยายอาณาจักรออกไปกว้างขวางมากกว่ารัชกาลอื่น

นามานุกรมพระมหากษัตริย์ไทย

คลิกอ่านจากไฟล์ pdf »

พระมหากษัตริย์ พระองค์ที่ ๓

พระกษัตริย์ พระองค์ที่ ๓


พ่อขุนรามคำแหงมหาราช เสวยราชย์ประมาณ พ.ศ. ๑๘๒๒ ถึงประมาณ พ.ศ. ๑๘๔๑ ทรงเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์ที่ ๓ แห่งราชวงศ์พระร่วงกรุงสุโขทัย พระองค์ทรงรวบรวมอาณาจักร ไทยขึ้นเป็นปึกแผ่นกว้างขวาง ทั้งยังได้ทรงประดิษฐ์ตัวอักษรไทยขึ้น ทำให้ชาวไทยได้สะสมความรู้ทาง ศิลปะ วัฒนธรรม และวิชาการต่างๆสืบทอดกันมากว่า ๗๐๐ ปี พ่อขุนรามคำแหงเป็นพระราชโอรสองค์ที่ ๓ ของพ่อขุนศรีอินทราทิตย์กับนางเสือง พระเชษฐา องค์แรกสิ้นพระชนม์ตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์พระเชษฐาองค์ที่ ๒ ทรงพระนามตามศิลาจารึกว่า พระยา บานเมือง ได้เสวยราชย์ต่อจากพระราชบิดา เมื่อสิ้นพระชนม์แล้วพ่อขุนรามคำแหงจึงได้เสวยราชย์ ต่อมา

ตามพงศาวดารโยนก พ่อขุนรามคำแหงมหาราชแห่งสุโขทัย พระยามังรายมหาราช (หรือ พระยาเม็งราย) แห่งล้านนา และพระยางำเมืองแห่งพะเยา เป็นศิษย์ร่วมพระอาจารย์เดียวกัน ณ สำนักพระสุกทันตฤๅษีที่เมืองละโว้จึงน่าจะมีอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน พระยามังรายประสูติเมื่อ พ.ศ. ๑๗๘๒ พ่อขุนรามคำแหงน่าจะประสูติในปีใกล้เคียงกันนี้

เมื่อพ่อขุนรามคำแหงมีพระชนมายุ ๑๙ พรรษา พระองค์ได้ทรงทำยุทธหัตถีมีชัยต่อขุนสามชน เจ้าเมืองฉอด (อยู่ริมแม่น้ำเมยใกล้จังหวัดตาก แต่อาจจะอยู่ในเขตประเทศพม่าในปัจจุบัน) พ่อขุน ศรีอินทราทิตย์จึงทรงขนานพระนามพ่อขุนรามคำแหงว่า “พระรามคำแหง” สันนิษฐานว่าพระนามเดิม ของพระองค์คือ “ราม” เพราะปรากฏพระนามเมื่อเสวยราชย์แล้วว่า “พ่อขุนรามราช” อนึ่ง สมัยนั้น นิยมนำชื่อปู่มาตั้งเป็นชื่อหลาน พระราชนัดดาของพระองค์มีพระนามว่า “พระยาพระราม” (จารึก หลักที่ ๑๑) และในชั้นพระราชนัดดาของพระราชนัดดามีเจ้าเมืองพระนามว่า “พระยาบาลเมือง” และ “พระยาราม” (เหตุการณ์ พ.ศ. ๑๙๖๒) ดังปรากฏในพระราชพงศาวดารกรุงเก่าฉบับหลวงประเสริฐ อักษรนิติ์

ตรีอมาตยกุล ได้เสนอว่า พ่อขุนรามคำแหงน่าจะเสวยราชย์ พ.ศ. ๑๘๒๒ เพราะเป็นปีที่ทรง ปลูกต้นตาลที่สุโขทัย ประเสริฐ ณ นคร จึงได้หาหลักฐานมาประกอบว่า กษัตริย์ไทอาหมทรงปลูก ต้นไทรครั้งขึ้นเสวยราชย์อย่างน้อย ๗ รัชกาลด้วยกัน ทั้งนี้เพื่อสร้างโชคชัยว่ารัชกาลจะอยู่ยืนยง เหมือนต้นไม้อนึ่งต้นตาลและต้นไทรเป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ของลังกา

รัชสมัยของพ่อขุนรามคำแหงเป็นยุคที่กรุงสุโขทัยเฟื่องฟูและเจริญขึ้นกว่าเดิมเป็นอันมาก ระบบ การปกครองภายในก่อให้เกิดความสงบเรียบร้อยอย่างมีประสิทธิภาพ มีการติดต่อสัมพันธ์กับ ต่างประเทศทั้งในด้านเศรษฐกิจและการเมือง ไพร่ฟ้าประชาชนอยู่ดีกินดีสภาพบ้านเมืองก้าวหน้าทั้ง ทางเกษตร การชลประทาน การอุตสาหกรรม และการศาสนา อาณาเขตของกรุงสุโขทัยได้ขยายออก ไปกว้างใหญ่ไพศาล

พ่อขุนรามคำแหงมหาราชทรงประดิษฐ์อักษรไทยขึ้นใช้เมื่อ พ.ศ. ๑๘๒๖ ทำให้อนุชนสามารถ ศึกษาความรู้ต่างๆได้สืบเนื่องกันมาจนถึงปัจจุบัน ตัวหนังสือไทยของพ่อขุนรามคำแหงมหาราชมี ลักษณะพิเศษกว่าตัวหนังสือของชาติอื่นซึ่งขอยืมตัวหนังสือของอินเดียมาใช้คือพระองค์ได้ประดิษฐ์ พยัญชนะ สระ และวรรณยุกต์เพิ่มขึ้นให้สามารถเขียนแทนเสียงพูดของคำภาษาไทยได้ทุกคำ และ ได้นำสระและพยัญชนะมาอยู่ในบรรทัดเดียวกันโดยไม่ต้องใช้พยัญชนะซ้อนกัน ทำให้เขียนและอ่าน หนังสือไทยได้ง่ายและสะดวกยิ่งขึ้นมาก นับว่าพระองค์ทรงพระปรีชาล้ำเลิศ และทรงเห็นการณ์ไกล อย่างหาผู้ใดเทียบเทียมได้ยาก

ในด้านการปกครอง เมื่อพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ทรงขจัดอิทธิพลของเขมรออกไปจากเมืองสุโขทัย ได้ในปลายพุทธศตวรรษที่ ๑๘ การปกครองของกษัตริย์สุโขทัยเป็นแบบพ่อปกครองลูก ดังข้อความใน จารึกหลักที่ ๑ ว่า “เมื่อชั่วพ่อกูกูบำเรอแก่พ่อกูกูบำเรอแก่แม่กู กูได้ตัวเนื้อตัวปลา กูเอามาแก่พ่อกู กูได้หมากส้มหมากหวาน อันใดกินอร่อยกินดีกูเอามาแก่พ่อกู กูไปตีหนังวังช้างได้กูเอามาแก่พ่อกู กูไปท่อบ้านท่อเมือง ได้ช้างได้งวงได้ปั่วได้นาง ได้เงือนได้ทอง กูเอามาเวนแก่พ่อกู” ข้อความดังกล่าว แสดงการนับถือพ่อแม่ และถือว่าความผูกพันในครอบครัวเป็นเรื่องสำคัญ ครอบครัวทั้งหลายรวมกัน เข้าก็เป็นเมืองหรือรัฐ มีเจ้าเมืองหรือพระมหากษัตริย์เป็นหัวหน้าครอบครัว พระมหากษัตริย์เปรียบ เสมือนหัวหน้าครอบครัวใหญ่ ปกครองพลเมืองเสมือนเป็นลูกหลาน ช่วยให้มีที่ทำกิน คอยป้องกันมิให้ คนถิ่นอื่นมาแย่งชิงถิ่น ถ้าลูกหลานทะเลาะวิวาทกัน ก็ตัดสินคดีด้วยความเป็นธรรม

พระมหากษัตริย์มีพระราชอำนาจสิทธิ์ขาดที่จะบริหารราชการแผ่นดิน ทำศึกสงครามตลอดจน พิพากษาอรรถคดีแต่ก็มิได้ใช้พระราชอำนาจเฉียบขาดอย่างกษัตริย์เขมร ดังปรากฏข้อความในจารึก หลักที่ ๑ ว่า ราษฎรสามารถค้าขายได้โดยเสรีเจ้าเมืองไม่เรียกเก็บจังกอบ หรือภาษีผ่านทาง ผู้ใด ล้มตายลง ทรัพย์สมบัติตกเป็นมรดกแก่ลูก หากผู้ใดไม่ได้รับความเป็นธรรมในกรณีพิพาท ก็มีสิทธิ์ ไปสั่นกระดิ่งถวายฎีกาต่อพระมหากษัตริย์ได้

ยิ่งกว่านั้น พ่อขุนรามคำแหงมหาราชยังทรงใช้พระพุทธศาสนาเป็นเครื่องช่วยในการปกครอง โดยได้ทรงสร้างพระแท่นมนังศิลาบาตรขึ้น ให้พระเถรานุเถระแสดงพระธรรมเทศนาแก่ประชาชน ในวันพระ ส่วนวันธรรมดาพระองค์เสด็จประทับเป็นประธานให้เจ้านายและข้าราชการปรึกษาราชการ ร่วมกัน เมื่อประชาชนเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนาและประพฤติปฏิบัติแต่ในทางที่ดีที่ชอบ การ ปกครองก็จะสะดวกง่ายดายยิ่งขึ้น

ในด้านอาณาเขต พ่อขุนรามคำแหงมหาราชได้ทรงขยายอาณาเขตออกไปอย่างกว้างขวาง คือ ทางทิศตะวันออกทรงปราบได้เมืองสระหลวง สองแคว (พิษณุโลก) ลุมบาจาย สะค้า (สองเมืองนี้อาจ อยู่แถวลุ่มแม่น้ำน่านหรือแควป่าสักก็ได้) ข้ามฝั่งแม่น้ำโขงไปถึงเวียงจันทน์ เวียงคำในประเทศลาว ทางทิศใต้พระองค์ทรงปราบได้คนที(บ้านโคน กำแพงเพชร) พระบาง (นครสวรรค์) แพรก (ชัยนาท) สุพรรณภูมิราชบุรีเพชรบุรีนครศรีธรรมราช มีฝั่งทะเลสมุทร (มหาสมุทร) เป็นเขตแดน ทางทิศ ตะวันตกพระองค์ทรงปราบได้เมืองฉอด เมืองหงสาวดีและมีมหาสมุทรเป็นเขตแดน ทางทิศเหนือ พระองค์ทรงปราบได้เมืองแพร่ เมืองน่าน เมืองพลัว (อำเภอปัว จังหวัดน่าน) ข้ามฝั่งโขงไปถึงเมืองชวา (หลวงพระบาง) เป็นเขตแดน

ในด้านความสัมพันธ์กับต่างประเทศ พ่อขุนรามคำแหงมหาราชทรงสร้างพระราชไมตรีกับ พระยามังรายแห่งล้านนาและพระยางำเมืองแห่งพะเยาทางด้านเหนือ และทรงยินยอมให้พระยามังราย ขยายอาณาเขตล้านนาทางแม่น้ำกก แม่น้ำปิง และแม่น้ำวังได้อย่างสะดวก เพื่อให้เป็นกันชนระหว่าง จีนกับสุโขทัย และยังได้เสด็จไปทรงช่วยเหลือพระยามังรายหาชัยภูมิสร้างเมืองเชียงใหม่เมื่อ พ.ศ. ๑๘๓๙ ด้วย

ทางประเทศมอญ มีพ่อค้าไทยใหญ่ชื่อมะกะโทได้เข้ารับราชการอยู่ในราชสำนักของพ่อขุน รามคำแหงมหาราช มะกะโทได้ผูกสมัครรักใคร่กับพระราชธิดาของพ่อขุนรามคำแหงมหาราชแล้ว พากันหนีไปอยู่เมืองเมาะตะมะ ต่อมาได้ฆ่าเจ้าเมืองเมาะตะมะแล้วเป็นเจ้าเมืองแทนเมื่อ พ.ศ. ๑๘๒๔ แล้วขอพระราชทานอภัยโทษต่อพ่อขุนรามคำแหงมหาราช และได้รับพระราชทานนามเป็นพระเจ้าฟ้ารั่ว และยินยอมเป็นประเทศราชของกรุงสุโขทัย

ทางทิศใต้พ่อขุนรามคำแหงมหาราชได้ทรงอัญเชิญพระมหาเถรสังฆราชผู้เรียนจบพระไตรปิฎก มาจากนครศรีธรรมราช เพื่อให้เผยแผ่พระพุทธศาสนาในกรุงสุโขทัย

ส่วนเมืองละโว้ยังเป็นเอกราชอยู่ เพราะปรากฏว่าระหว่าง พ.ศ. ๑๘๓๔ ถึง พ.ศ. ๑๘๔๐ ยังส่ง เครื่องบรรณาการไปเมืองจีนอยู่ พ่อขุนรามคำแหงมหาราชคงจะได้ทรงผูกไมตรีเป็นมิตรกับเมืองละโว้ พ่อขุนรามคำแหงมหาราชทรงส่งราชทูตไปเมืองจีน ๓ ครั้ง เพื่อแสดงความเป็นมิตรไมตรีกับประเทศ จีน

วรรณกรรมสมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราชสูญหายไปหมดแล้ว คงเหลือแต่จารึกหลักที่ ๑ (พ.ศ. ๑๘๓๕) ซึ่งแม้จะมีข้อความเป็นร้อยแก้ว แต่ก็มีสัมผัสคล้องจองกันทำให้ไพเราะ เช่น “ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว...ลูท่างเพื่อนจูงวัวไปค้า ขี่ม้าไปขาย...เห็นข้าวท่านบ่ใคร่พีน เห็นสินท่านบ่ใคร่เดือด” นับเป็นวรรณคดีเริ่มแรกของกรุงสุโขทัย ซึ่งตกทอดมาถึงปัจจุบันโดยมิได้มีผู้มาคัดลอกให้ผิดเพี้ยนไป จากเดิม

จดหมายเหตุจีนระบุว่า พ่อขุนรามคำแหงมหาราชสวรรคตใน พ.ศ. ๑๘๔๑ พระยาเลอไทยซึ่ง เป็นพระราชโอรสเสวยราชย์ต่อมา

นามานุกรมพระมหากษัตริย์ไทย

คลิกอ่านจากไฟล์ pdf »

พระมหากษัตริย์ พระองค์ที่ ๔

พระกษัตริย์ พระองค์ที่ ๔


พระยาเลอไทย ทรงเป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ ๔ แห่งราชวงศ์พระร่วงกรุงสุโขทัย เป็น พระราชโอรสของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช และเป็นพระราชบิดาของพระมหาธรรมราชาที่ ๑ (ลือไทย, ลิไทย) พระยาเลอไทยเสวยราชสมบัติ พ.ศ. ๑๘๔๑-พ.ศ. ๑๘๖๖

ศิลาจารึกหลักที่ ๒ กล่าวถึงพระยาเลอไทยว่า “หลานพ่อขุนศรีอินทราทิตย ผู้หนึ่งชื่อธรรมราชา  พุล (คือเกิด) รู้บุญรู้ธรรมมีปรีชญาแก่กม (ปรีชามากมาย) บ่มิกล่าวถี่เลย” ในปัจจุบันยังไม่ปรากฏ หลักฐานรายละเอียดเกี่ยวกับพระองค์เลย

ปีที่พระยาเลอไทยเสด็จขึ้นครองราชย์ ได้หลักฐานจากจดหมายเหตุจีนซึ่งบันทึกว่าพระองค์ได้ ทรงส่งราชทูตไปถึงเมืองจีนในต้น ค.ศ. ๑๒๙๙ ซึ่งเป็นปีที่พ่อขุนรามคำแหงมหาราชสวรรคต คือ พ.ศ. ๑๘๔๑ (สมัยเดิมถ้าเป็นเดือนมกราคมถึงมีนาคม ต้องใช้ ๕๔๒ บวก ถ้าเป็นเดือนเมษายนถึงธันวาคม จึงจะใช้ ๕๔๓ บวก อย่างไรก็ดี เรือออกเดินทางไปก่อนนั้นหลายเดือน พ่อขุนรามคำแหงมหาราชจึง สวรรคตเมื่อปลาย ค.ศ. ๑๒๙๘ ตรงกับ พ.ศ. ๑๘๔๑) ส่วนปีสิ้นรัชกาลพระยาเลอไทย คือ พ.ศ. ๑๘๖๖ ซึ่งสันนิษฐานว่าเป็นปีที่ ๑ ในรัชกาลของพระยางั่วนำถุม

นามานุกรมพระมหากษัตริย์ไทย

คลิกอ่านจากไฟล์ pdf »

พระมหากษัตริย์ พระองค์ที่ ๕

พระกษัตริย์ พระองค์ที่ ๕


พระยางั่วนำถุม ทรงเป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ ๕ แห่งราชวงศ์พระร่วงกรุงสุโขทัย เสวย ราชสมบัติตั้งแต่ พ.ศ. ๑๘๖๖ ถึง พ.ศ. ๑๘๙๐ ชินกาลมาลีปกรณ์กล่าวไว้ว่า พระองค์เป็นพระราชโอรส ของพ่อขุนบานเมือง พระยางั่วนำถุมทรงสถาปนาพระยาลือไทย (พระมหาธรรมราชาที่ ๑) ให้เป็น พระมหาอุปราช ทรงครองเมืองศรีสัชนาลัยเมื่อ พ.ศ. ๑๘๘๓

หลังจากปีพ.ศ. ๑๘๔๑ ซึ่งเป็นปีสวรรคตของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช อาณาจักรสุโขทัย ก็แตกสลาย เมืองต่างๆ ตั้งตัวเป็นเอกราช เช่น เมืองคนที(กำแพงเพชร) พระบาง (นครสวรรค์) เชียงทอง (ระแหงตาก) มาถึงรัชสมัยพระมหาธรรมราชาที่ ๑ (ลือไทย) จึงทรงขยายอาณาจักรสุโขทัย ออกไปใหม่ (จารึกหลักที่ ๓)

ปีเสวยราชสมบัติของพระยางั่วนำถุมคือ พ.ศ. ๑๘๖๖ ซึ่งคำนวณจากปีที่พระยาลิไทย (ลือไทย) แต่งไตรภูมิพระร่วงคือปีระกา ศักราช ๒๓ (เมื่อพระยาลิไทยทรงครองราชสมบัติในเมือง ศรีสัชนาลัยได้ ๖ ปี) เมื่อเทียบกับจารึกหลักที่ ๕ ซึ่งกล่าวว่าเมื่อ พ.ศ. ๑๙๐๔ พระยาลิไทยเสวยราชย์ ในเมืองศรีสัชนาลัยได้๒๒ ปี (คือ ๑๖ ปีหลังจากทรงพระราชนิพนธ์ไตรภูมิพระร่วง) คือศักราช ๒๓ + ๑๖ เท่ากับศักราช ๓๙ เอา ๓๘ ลบ จะได้ศักราช ๑ ซึ่งตรงกับ พ.ศ. ๑๘๖๖ ถือเป็นปีที่พระยา งั่วนำถุมครองราชย์

ส่วนปีสวรรคตของพระยางั่วนำถุมคำนวณได้จากปีที่พระยาลิไทยทรงยกกองทัพไปปราบสุโขทัย ใน พ.ศ. ๑๘๙๐ แล้วเสด็จขึ้นเสวยราชย์ (จารึกหลักที่ ๔) อาจจะเป็นเพราะพระโอรสของพระยา งั่วนำถุมจะเสวยราชย์สืบแทนพระราชบิดา พระยาลิไทยซึ่งทรงดำรงตำแหน่งมหาอุปราชจึงต้องเสด็จ ไปปราบปรามก็เป็นได้

นามานุกรมพระมหากษัตริย์ไทย

คลิกอ่านจากไฟล์ pdf »

พระมหากษัตริย์ พระองค์ที่ ๖

พระกษัตริย์ พระองค์ที่ ๖


พระมหาธรรมราชาที่ ๑ (ลือไทย, ลิไทย) ทรงเป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ ๖ แห่งราชวงศ์พระร่วง กรุงสุโขทัย เป็นพระราชโอรสของพระยาเลอไทยและเป็นพระราชนัดดา (หลานปู่) ของพ่อขุนรามคำแหง มหาราช ชาวสวรรคโลกสุโขทัยนับถือพระร่วงและพระลือยิ่งกว่ากษัตริย์สุโขทัยพระองค์อื่น เพราะ พระร่วงคือพ่อขุนรามคำแหงมหาราชและพระลือคือพระยาลือไทย ทรงรวบรวมดินแดนอาณาจักร สุโขทัยให้กว้างขวางออกไป

พระยาลือไทยทรงเป็นพระมหาอุปราชอยู่ ณ เมืองศรีสัชนาลัยตั้งแต่ พ.ศ. ๑๘๘๓ ระหว่างนั้น ได้ทรงพระนิพนธ์ไตรภูมิพระร่วงใน พ.ศ. ๑๘๘๘ ต่อมาใน พ.ศ. ๑๘๙๐ จึงได้เสวยราชย์ครองกรุง สุโขทัยจนถึง พ.ศ. ๑๙๑๑

เมื่อพ่อขุนรามคำแหงมหาราชสวรรคตใน พ.ศ. ๑๘๔๑ แล้ว อาณาจักรสุโขทัยแตกสลาย เมือง ต่างๆ เช่น เมืองคนที(กำแพงเพชร) พระบาง (นครสวรรค์) เชียงทอง (ระแหงตาก) ตั้งตัวเป็นเอกราช มาถึงรัชสมัยพระยาลือไทย พระองค์ทรงขยายอาณาจักรสุโขทัยออกไปใหม่ (จารึกหลักที่ ๓) แต่ ไม่กว้างขวางเหมือนเดิม ทางทิศใต้ไปถึงพระบาง (นครสวรรค์) คนที (กำแพงเพชร) ทรงตีได้เมืองแพร่ (จารึกหลักที่ ๙) และตามจารึกหลักที่ ๘ ด้านที่ ๓ บรรทัดที่ ๑๐ ทรงตีได้เมืองน่านและเชาบุรี(ชวา หรือหลวงพระบาง) เดิมอ่านไว้ว่า นำ...บุรีและทรงมีเมืองเหล่านี้เป็นบริวาร เริ่มตั้งแต่สระหลวง สอง แคว (พิษณุโลก) ทางทิศตะวันออกของสุโขทัย เวียนตามเข็มนาฬิกาไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ต่อไป ทางทิศใต้มีเมืองปากยม (พิจิตร) พระบาง (นครสวรรค์) ชากังราว สุพรรณภาว นครพระชุม (กำแพงเพชร) กวาดไปทางทิศตะวันตก ทิศเหนือ กลับไปทิศตะวันออก ซึ่งรวมถึงเมืองราด สะค้า ลุมบาจาย (น่าจะอยู่แถวอุตรดิตถ์ไม่ใช่เพชรบูรณ์เพราะต้องอยู่เหนือสระหลวง สองแคว ขึ้นไป)

ตามพงศาวดารโยนกและชินกาลมาลีปกรณ์ว่าอยุธยายึดชัยนาท (พิษณุโลก) ได้พระยาลือไทย ทูลขอคืนจากอยุธยาได้แล้วทรงไปครองชัยนาทแต่นั้นมา อาจสันนิษฐานได้ว่า พ.ศ. ๑๙๐๔ พระยา ลือไทยทรงพระผนวช อยุธยาจึงมายึดพิษณุโลกได้พระยาลือไทยทรงขอพิษณุโลกคืนได้จึงทรงครอง พิษณุโลกเป็นเมืองหลวงจนสิ้นรัชกาล

จารึกหลักที่ ๑๓ พ.ศ. ๒๐๕๒ กล่าวถึงศาสนาว่ามี๑. พุทธศาสน์ ๒. ไสยศาสตร์และ ๓. พระเทพกรรม ในจารึกหลักอื่นนอกจากไสยศาสตร์ยังมีคำว่า ไศพาคม ซึ่งหมายถึงศาสนาพราหมณ์ แต่ไม่มีใครทราบว่าพระเทพกรรมหมายถึงอะไร อาจจะเป็นเรื่องถือผีถือเทพารักษ์ ทางล้านนา สมัยนั้นนับถือพวกเสื้อ เสื้อนา เสื้อฝาย ฯลฯ สุโขทัยมีผีพระขพุง เป็นต้น อนึ่ง ก่อนไปคล้องช้าง ต้อง มีพิธีบวงสรวงพระเทพกรรม ได้แก่ พระคเณศและพระขันธกุมาร

พระยาลือไทยทรงศึกษาศาสนาพุทธอย่างลุ่มลึกและทรงพระปรีชาสามารถในศิลปศาสตร์ ๑๘ ประการ เช่น ทรงรู้จักชื่อดาวกว่าพันดวง ทรงเชี่ยวชาญทางโหราศาสตร์และพฤฒิบาศ เป็นต้น ทรง คำนวณวันเดือนปีที่พระพุทธเจ้าประสูติตรัสรู้วันสิ้นศาสนา (จารึกหลักที่ ๓) วันสิ้นกัลป์(จารึกหลัก ที่ ๗) ถูกต้องตามคัมภีร์ ทรงแก้ไขปฏิทินให้ถูกต้อง ทรงปัญจศีลทุกเวลา ทรงพระไตรปิฎก ทรง พร่ำสอนพระวินัย พระอภิธรรมให้พระภิกษุสงฆ์ ทรงก่อพระเจดีย์ ปลูกต้นศรีมหาโพธิ์ ทรงส่งคน ไปจำลองพระพุทธบาทที่สุมนกูฏบรรพตมาประดิษฐานไว้บนเขาในเมืองที่พระองค์ทรงขยายอาณาเขต ไปถึง พ.ศ. ๑๙๐๔ ทรงอัญเชิญพระมหาสามีสังฆราชจากนครพัน (เมืองเมาะตะมะเก่า) มาจำพรรษา ในป่ามะม่วงและพระองค์ทรงพระผนวชในปีนั้น เมื่อทรงลาสิกขาแล้วเสด็จไปประทับที่พิษณุโลก

ตำนานมูลศาสนากล่าวว่า พระสงฆ์ลัทธิลังกาวงศ์ (เก่า) นำศาสนามาจากนครพันและถือเอา เมืองพิษณุโลกเป็นเมืองศูนย์กลางเผยแผ่พระพุทธศาสนาไปยังอโยธยา ชวา (หลวงพระบาง) น่าน สุโขทัย และเชียงใหม่ พระยาลือไทยทรงอุปถัมภ์ศาสนาอื่นด้วย เช่น พ.ศ. ๑๘๙๒ เสด็จไปประดิษฐาน รูปพระมเหศวร รูปพระวิษณุในหอเทวาลัยมหาเกษตรในป่ามะม่วง (จารึกหลักที่ ๘)

พระยาลือไทยทรงยึดหลักปฏิบัติอย่างมีมนุษยธรรมต่อเชลยศึก (จารึกหลักที่ ๕) เมื่อประชาชน สิ้นชีวิตก็ให้ทรัพย์สมบัติตกเป็นของลูกและน้อง (จารึกหลักที่ ๓) ทรงดำริให้ยกพนังจากพิษณุโลกมาถึง สุโขทัยเพื่อการชลประทานและการประมงของประชาชน (จารึกหลักที่ ๘)

การควบคุมกำลังพลของสุโขทัยคงเป็นแบบเดียวกับวิธีการของล้านนาที่ปรากฏในมังรายศาสตร์ กล่าวคือ ไพร่สิบคนให้มีนายสิบควบคุม นายร้อยหรือหัวปากควบคุมนายสิบ ๑๐ คน และมีหัวพัน หรือเจ้าพัน หัวหมื่นหรือเจ้าหมื่น เจ้าแสน ควบคุมขึ้นไปตามลำดับชั้น นายร้อยและนายพันจะติดต่อ กันผ่านล่ามพัน นายพันกับเจ้าหมื่นจะติดต่อกันผ่านล่ามหมื่น จารึกหลักที่ ๔๕ กล่าวถึง “ล่ามหมื่น ล่าม (พ)...” และจารึกหลักที่ ๘๖ กล่าวถึงหัวปาก (นายร้อย) การปกครองกันตามลำดับชั้นนี้ไทอาหม ก็ใช้แบบเดียวกัน

ศิลปะทางพระพุทธศาสนาที่เกิดขึ้นในรัชกาลของพระยาลือไทย คือพระพุทธบาทที่จำลองมา จากเขาสุมนกูฏในลังกา พระพุทธรูปปางลีลาและพระเจดีย์ทรงดอกบัวตูมหรือทรงพุ่มข้าวบิณฑ์และ ในจารึกหลักที่ ๔๒ กล่าวถึงการสร้างพระพิมพ์จำนวนเท่ากับอายุของผู้สร้างเป็นจำนวนวัน เช่น แม่เฉา อายุ ๗๕ ปีสร้างพระพิมพ์ ๒๗,๕๐๐ องค์จึงมีพระพิมพ์ให้คนไทยได้บูชาทั่วถึงกันมาจนทุกวันนี้

นามานุกรมพระมหากษัตริย์ไทย

คลิกอ่านจากไฟล์ pdf »

พระมหากษัตริย์ พระองค์ที่ ๗

พระกษัตริย์ พระองค์ที่ ๗


พระมหาธรรมราชาที่ ๒ ทรงเป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ ๗ แห่งราชวงศ์พระร่วง กรุงสุโขทัย เป็นพระราชโอรสในพระมหาธรรมราชาที่ ๑ (ลือไทยหรือลิไทย) เสวยราชสมบัติตั้งแต่ พ.ศ. ๑๙๑๑ ถึง พ.ศ. ๑๙๔๒ จึงทรงผนวช (จารึกหลักที่ ๙๓ และหลักที่ ๒๘๖) จารึกหลักที่ ๑๐ พ.ศ. ๑๙๔๗ กล่าวถึงท่านเจ้าพันให้คนหุงจังหันเจ้าธรรมราช และจารึกหลักที่ ๒๖๔ กล่าวถึงเรื่อง พระมหาธรรมราชาที่ ๒ สวรรคตใน พ.ศ. ๑๙๕๒

จารึกหลักที่ ๙๓ และหลักที่ ๒๘๖ ตอนที่เป็นภาษาบาลี มีข้อความว่าศักราช ๗๓๐ (พ.ศ. ๑๙๑๑) พระมหาธรรมราชาธิราช (ที่ ๒) ได้ประสูติจากพระครรภ์...เมื่อพระชนมายุได้ ๑๖ พรรษา ก็ได้สำเร็จการศึกษาและได้ราชสมบัติ...จึงมีผู้ตีความว่าพระองค์ประสูติใน พ.ศ. ๑๙๑๑ แต่ข้อความ ตอนหลังมีว่า เมื่อพระชนมายุ ๓๘ พรรษา ศักราช ๗๕๘ (พ.ศ. ๑๙๓๙) ได้ขยายอาณาจักรให้ กว้างขวางออกไป แสดงว่าพระองค์ประสูติ เมื่อ พ.ศ. ๑๙๐๑ ฉะนั้น พ.ศ. ๑๙๑๑ จึงควรเป็นปีเสวย ราชสมบัติของพระองค์

จารึกหลักที่ ๙๓ และหลักที่ ๒๘๖ กล่าวว่า เมื่อพระชนมายุได้ ๓๘ พรรษา พ.ศ. ๑๙๓๙ ทรง ปกครองปกกาว (ปกหมายถึงปกครอง กาวคือชาวกาวหรือชาวน่าน ปกกาวจึงหมายถึงปกครองรัฐน่าน) ชวา (หลวงพระบาง) ดอยอุย พระบาง (นครสวรรค์) ลุมบาจาย ถึงสายยโสธร นครไทย เพชรบูรณ์ เชียงดง เชียงทอง ไตรตรึงษ์ ฉอด นครพัน นาคปุระ (เชียงแสน) จารึกหลักที่ ๖๔ พ.ศ. ๑๙๓๕ มีข้อความแสดงว่า แพร่ งาว พลัว อยู่ใต้ความดูแลของน่านซึ่งเป็นแคว้นอยู่ภายใต้ความดูแลของสุโขทัย

พ.ศ. ๑๙๔๒ ในขณะที่พระมหาธรรมราชาที่ ๒ ทรงผนวชอยู่ พระมเหสีทรงทำหน้าที่ผู้สำเร็จ ราชการและจะทรงยกพระรามราชาธิราชพระราชโอรสของพระนางเป็นพระธรรมราชาธิราช แต่ในปี ถัดไป พ.ศ. ๑๙๔๓ พระชายาอีกองค์หนึ่งกับพระราชโอรส ทรงพระนามว่าพระเจ้าไสลือไทยได้ ปราบดาภิเษกขึ้นเป็นพระมหาธรรมราชาที่ ๓ (ไสลือไทย) พระนามพระธรรมราชาธิราช ในจารึกหลัก ที่ ๙๓ ก็ลบเลือนเห็นแต่ “...ม ราชาธิราช” และข้อความที่ปรากฏในจารึกหลักที่ ๒๘๖ ก็กล่าวถึง พระรามราชาธิราชผู้ทรงเป็นโอรสองค์แรก ไม่เอ่ยถึงพระธรรมราชาอีก เอกสารอื่นก็ไม่เคยกล่าวถึง พระองค์อีกเลย

จารึกหลักที่ ๓๘ พ.ศ. ๑๙๔๐ จารเรื่องกฎหมายลักษณะโจร (หรือกฎหมายลักษณะลักพา) เป็นกฎหมายเก่าที่สุดของไทยที่ปรากฏตามรูปเดิมโดยไม่มีการแก้ไข มีข้อความแสดงว่ากฎหมาย สมัยนั้นอาศัยพระธรรมศาสตร์และราชศาสตร์เป็นหลัก

ธรรมศาสตร์และราชศาสตร์นั้น ชาวอินเดียถือว่าสากลพิภพอยู่ภายใต้กฎธรรมชาติอัน แปรเปลี่ยนมิได้คือ ธรรม ซึ่งพระมนูได้นำมาเผยแพร่แก่มนุษย์ทั้งหลายในรูปธรรมศาสตร์ กษัตริย์ อินเดียไม่มีหน้าที่ออกกฎหมาย แต่จะต้องเรียนรู้ธรรมโดยศึกษาธรรมศาสตร์แล้วตัดสินคดีไปตามหลัก ในธรรมศาสตร์นั้น มอญเป็นผู้เริ่มเขียนธัมมสัตถ (ธรรมศาสตร์) ฉบับที่พระเจ้าฟ้ารั่วผู้ครองประเทศ รามัญ (ในสมัยสุโขทัย) สร้างขึ้นไว้ เป็นฉบับที่แพร่หลายมาก งานนี้ใช้หลักการจากธรรมศาสตร์ของ พวกฮินดู แต่เปลี่ยนข้อความที่เกี่ยวกับศาสนาพราหมณ์มาเป็นศาสนาพุทธเพื่อเป็นหลักให้กษัตริย์ที่ถือ ศาสนาพุทธใช้พิพากษาคดี พระเจ้าอู่ทองกษัตริย์พระองค์แรกของอยุธยาก็ทรงใช้ธัมมสัตถแบบมอญ เป็นเกณฑ์ตัดสินคดีเหมือนกัน ส่วนราชศาสตร์รวบรวมข้อความที่กษัตริย์วินิจฉัยจัดเข้าเป็นหมวดหมู่ มีลักษณะแบบเดียวกับธัมมสัตถและใช้รวมเข้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับธัมมสัตถ

พ.ศ. ๑๙๑๒ พระมหาธรรมราชาที่ ๒ ทรงส่งพระมหาสุมนเถระไปสืบศาสนาพุทธลัทธิลังกาวงศ์ เก่าหรือรามัญวงศ์ที่เชียงใหม่ ตามที่พระเจ้ากือนาแห่งล้านนาทรงขอมา ตามพงศาวดารโยนกพระยาศรี ธรรมราชทรงส่งพระมหาสุมนเถระไปล้านนา ทำให้สันนิษฐานว่าพระมหาธรรมราชาที่ ๒ อาจจะมี พระนามเดิมว่าศรี รับกับข้อความในจารึกหลักที่ ๑๐๒ พ.ศ. ๑๙๒๒ ที่กล่าวย้อนหลังไปเกี่ยวกับ ท่านพระศรีราชโอรสเมืองสุโขทัยนี้

พงศาวดารโยนกกล่าวถึงเจ้าเมืองสุโขทัยขอกองทัพเชียงใหม่ไปช่วยป้องกันสุโขทัยจากการโจมตี ของอยุธยาแล้วเกิดกลับใจ ลอบยกพลออกปล้นทัพเชียงใหม่ ตรงกับเหตุการณ์ที่ปรากฏในพระราชพงศาวดารกรุงเก่าฉบับหลวงประเสริฐอักษรนิติ์ว่า พ.ศ. ๑๙๓๑ กองทัพอยุธยายกไปตีเมืองชากังราว (กำแพงเพชร) แต่สมเด็จพระบรมราชาธิราชแห่งกรุงศรีอยุธยาทรงพระประชวร และเสด็จกลับ พระนครเสียก่อน

ในรัชกาลพระมหาธรรมราชาที่ ๒ อาณาจักรสุโขทัยตกเป็นเมืองขึ้นของกรุงศรีอยุธยา พ.ศ. ๑๙๒๑ จนถึง พ.ศ. ๑๙๓๑ จึงกลับเป็นเอกราชได้

นามานุกรมพระมหากษัตริย์ไทย

คลิกอ่านจากไฟล์ pdf »

บทอักษร นัยว่า ด้วยการพระศาสนา

พระนาม พระพุทธเจ้า


พระทีปังกระ ๑ พระโกณฑัญญะ ๑ พระสุมังคละ ๑ พระสุมนะ ๑ พระเรวตะ ๑ พระโสภิตะ ๑ พระอโนมทัสสี ๑ พระปทุมะ ๑ พระนารทะ ๑ พระปทุมุตตระ ๑ พระสุเมธะ ๑ พระสุชาตะ ๑ พระปิยทัสสี ๑ พระอัตถทัสสี ๑ พระธรรมทัสสี ๑ พระสิทธัตถะ ๑ พระติสสะ ๑ พระปุสสะ ๑ พระวิปัสสี ๑ พระสิขี ๑ พระเวสสภู ๑ พระกกุสันธะ ๑ พระโกนาคมนะ ๑ พระกัสสปะ ๑ พระโคตมะ ๑

พระอริฏฐะ พระอุปริฏฐะ พระตครสิขี พระยสัสสี พระสุทัสสนะ พระปิยทัสสี พระคันธาระ พระปิณโฑละ พระอุปาสภะ พระนิถะ พระตถะ พระสุตวะ พระภาวิตัตตะ พระสุมภะ พระสุภะ พระเมถุละ พระอัฏมะ พระสุเมธะ พระอนีฆะ พระสุทาฐะ พระหิงคุ พระหิงคะ พระทเวชาลินะ พระอัฏฐกะ พระโกสละ พระสุพาหุ พระอุปเนมิสะ พระเนมิสะ พระสันจิตตะ พระสัจจะ พระตถะ พระวิรชะ พระปัณฑิตะ พระกาละ พระอุปกาละ พระวิชิตะ พระชิตะ พระอังคะ พระปังคะ พระคุตติชชิตะ พระปัสสี พระชหี พระอุปธิ พระทุกขมูละ พระอปราชิตะ พระสัตถา พระปวัตตา พระสรภังคะ พระโลมหังสะ พระอุจจังคมายะ พระอสิตะ พระอนาสวะ พระมโนมยะ พระมานัจฉิทะ พระพันธุมะ พระตทาธิมุตตะ พระวิมละ พระเกตุมะ พระโกตุมพรังคะ พระเกตุมภราคะ พระมาตังคะ พระอริยะ พระอัจจุตะ พระอัจจุตคามี พระพยามกะ พระเขมาภิรตะ พระโสรตะ พระสัยหะ มโนนนิกมะ พระอานันทะ (4) พระนันทะ (4) พระอุปนันทะ (4) พระภารทวาชะ พระมังคละ พระสุมังคละ พระทิพพิละ พระอุปนียะ พระทุมมุขะ พระนิมิราช พระนัคคะชิ พระกรกัณฑะ พระอาทิจจะพันธุ พระอุสภะ พระอุปนียะ* พระวีตราคะ พระกัณหะ สุจินติตะ พระมาตังคะ* พระอัฏฐิสสระ พระชีวิตวิเสส พระสุมนิสสระ พระโสมนัสสะ พระรัตนกุฏิ ฯเปฯ

พระไตรปิฎกอักษรไทย


พระบรมราโชวาท (๑)


พระราชทานแก่คณะผู้แทนพุทธสมาคมทั่วประเทศ
ที่เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา
ณ ศาลาดุสิดาลัย
วันเสาร์ ที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๒๓
ในโอกาสที่ผู้ที่เป็นผู้สนใจในพระพุทธศาสนา เป็นสมาชิกของพุทธสมาคมและ สมาคมเครือทางพุทธศาสนา และผู้ที่สนใจอื่น ๆ ได้มาประชุมกัน เพื่อปรึกษาหารือในปัญหาของพุทธศาสนาในทุกด้าน ได้มาให้พรในโอกาสคล้ายวันเกิด ก็เป็นสิ่งที่ทำให้ปลาบปลื้ม และทำให้มีความรู้สึกกังวลใจอยู่บ้าง ท่านนายกพุทธสมาคมได้ยกยอปอปั้น อย่างมากว่า เป็นผู้ที่ปฏิบัติทางพุทธศาสนาอย่างชำนิชำนาญ ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ลำบากที่จะรับ แต่ก็ได้ขอให้ให้โอวาท

ข้อแรกเนื่องจากที่ได้กล่าวว่า ท่านทั้งหลายหวังในบารมีให้ปกเกล้าบ้านเมืองนั้น ก็เป็นข้อหนึ่งที่น่าคิด เพราะว่าบ้านเมืองประกอบด้วยบุคคล และแต่ละบุคคลจะต้องทำด้วยตนเองตามหลักของพระพุทธศาสนา แต่ละคนต้องการอะไร ก็ต้องการความสุขคือ ความสงบ ความสุขและความสงบนั้นจะเกิดขึ้นได้ก็ด้วยตนเอง ฉะนั้น ที่จะให้คนอื่นมาปกป้องรักษาก็เป็นสิ่งที่ยากถ้าตัวเองไม่ทำ อันนี้เป็นข้อที่สำคัญยิ่ง ในพระพุทธศาสนาและผู้ที่ถือตัวว่าเป็นพุทธศาสนิก ต้องพึ่งตัวเองมิใช่พึ่งคนอื่น แต่การที่จะอาศัยคนอื่นก็อาศัยได้โดยดูผู้อื่นที่ปฏิบัติดีชอบ และคอยฟังสิ่งที่ผู้อื่นที่เราเห็นว่าปฏิบัติดีชอบ ได้พูดได้แนะนำ ดังนี้ก็เป็นสิ่งที่อาศัยผู้อื่นได้ ผู้อื่นจะช่วยเราได้ ฉะนั้น ก็จะต้องมีการพิจารณาของตัวเอง ว่าผู้ที่น่าที่จะดูการปฏิบัติหรือฟังข้อแนะนำในการปฏิบัติและทำตาม อันนี้ก็เป็นสิ่งที่ช่วยให้บุคคลได้บรรลุถึงความสำเร็จความสุขได้ อันนี้ก็ได้ชี้แจงตามที่ได้กล่าวมาเมื่อตะกี้

มาถึงปัญหาของพระพุทธศาสนา เป็นสิ่งที่ลำบากที่สุดที่จะเห็นพระพุทธศาสนา และประโยชน์ของพระพุทธศาสนา เพราะแต่ละคนก็มีกายและใจของตัว แต่ละคนก็มีความรู้หรือปฏิปทาของตัวแล้วแต่ภูมิแต่ชั้น การที่จะปฏิบัติตามพระพุทธศาสนานั้น ย่อมจะเป็นแล้วแต่บุคคล แล้วแต่สภาพของตัว จะเรียกว่าสภาวะหรือสภาพหรือฐานะของตัว ฐานะนี้ไม่ได้หมายถึงฐานะทางการเงินการทองหรือความเป็นอยู่ แต่เป็นฐานะของจิตของแต่ละคน ฉะนั้น พุทธศาสนาถ้าว่าไปเป็นสิ่งที่ลุ่มลึก ที่ลำบากที่จะสั่งสอนหรือที่จะเรียน เพราะว่าแต่ละคนจะต้องทำตามฐานะของตัว หรือจะว่าได้ว่าพุทธศาสนามีหลายชนิด แต่ละคนก็มีพระพุทธศาสนาของตัว ฉะนั้น การที่จะสั่งสอน การที่จะชี้แจง การที่จะฟัง การที่จะเรียนพระพุทธศาสนานั้น จะต้องพยายามที่จะทำด้วยตนเอง

มาพูดถึงหน้าที่ของแต่ละคนหรือหน้าที่ของแต่ละสมาคม ที่สนใจพุทธศาสนา ก็มีมากหลาย เพราะจะต้องแบ่งพุทธศาสนานี้ออกเป็นหลายสาขาหรือหลายด้าน ด้านหนึ่งก็คือเรื่องของสังคม คนเรามีความว้าเหว่ใจก็จะต้องหาเพื่อนฝูงที่จะเข้าหากัน และได้มีการสังสรรค์ได้มีการปรึกษาหารือ เพื่อที่จะหาทางที่จะบรรเทาความเดือดร้อนความขุ่นใจ ที่มีความลำบากใจลำบากกาย จึงได้ตั้งขึ้นมาเป็นสมาคมเป็นชมรมเป็นกลุ่มเป็นชุมนุม ซึ่งมีจุดประสงค์ที่จะศึกษาพระพุทธศาสนา บางทีก็เรียกว่าพุทธสมาคม บางทีก็เรียกว่าชุมนุมพุทธศาสตร์ บางทีก็เรียกว่าชุมนุมพุทธศาสนา เป็นต้น เมื่อมีชื่อหลาย ๆ ชื่อก็เข้าใจได้ว่า มีจุดประสงค์หลาย ๆ จุดประสงค์ จุดประสงค์แรกคือการศึกษาพุทธศาสนานั้น มีการศึกษาได้อีกหลายทาง ศึกษาประวัติของพุทธศาสนา ศึกษากลไกของพุทธศาสนา และศึกษาประโยชน์ของพุทธศาสนาต่อสังคม และในที่สุดก็มีศึกษาเพื่อปฏิบัติธรรม แม้การปฏิบัติ ธรรมนั้นเองก็มีหลายวิธีหลายสาย บางคนก็เห็นว่าการปฏิบัติหาความสงบอย่างเดียวก็จะพบทางของความสุข บางคนก็บอกว่าทำอย่างนั้นไม่พอ จะต้องหาความสงบ แล้วก็จะหาความรู้พิเศษต่าง ๆ เช่นให้มีตาทิพย์ได้ ให้เห็นทะลุกำแพงได้ ให้เห็นให้ฟังและให้รู้จิตใจของผู้อื่นได้ บางคนก็ปฏิบัติเพื่อให้เห็นความจริง คือความไม่ยั่งยืนของร่างกาย หรือความไม่ยั่งยืนของสิ่งทุกอย่างที่มีอยู่ในโลก ฉะนั้น มีวิธีที่จะปฏิบัติอีกหลายต่อหลายทาง ที่กล่าวอย่างนี้ก็จะให้แสดงถึงว่า แต่ละคนมีความคิดของตัว มีแนวทางของตัว จึงศึกษาหรือปฏิบัติศาสนาต่างกันทั้งนั้น

ถ้าพูดถึงการปฏิบัติธรรม หรือการปฏิบัติศาสนาเพื่อสังคม เราเห็นสังคมมีความวุ่นวาย เราเห็นว่าประเทศชาติมีอันตรายที่จะเข้ามากล้ำกราย เราก็เกิดเป็นห่วง เป็นห่วงทำไม ก็เพราะว่ารู้ว่าถ้าสังคมวุ่นวาย ตัวเราเองก็เป็นอันตรายเพราะไม่มีความปลอดภัย ถ้าเห็นว่าประเทศชาติอยู่ในอันตรายก็เช่นเดียวกัน เราก็รู้สึกว่าตัวเราเองจะต้องประสบภัย ฉะนั้น เราจึงพยายามแก้ปัญหาของสังคม แล้วก็ดูไปข้างนอกว่า มีการฆ่ากัน มีการลักขโมยกัน มีการปล้นกัน มีการแก่งแย่งชิงดี มีการทำให้มีทุจริตต่าง ๆ เราก็อยากที่จะระงับหรือลดหย่อนไม่ให้มีความยุ่งยาก ดังนั้นจึงมาประชุมกันปรึกษากัน ก็ทำกิจการซึ่งจะเรียกว่าการสังคมสงเคราะห์มากกว่าที่จะเป็นการปฏิบัติศาสนา แต่ก็เป็นส่วนหนึ่งของการปฏิบัติศาสนาคือการสงเคราะห์ การสงเคราะห์ต่าง ๆ เหล่านี้จะทำได้ต่อเมื่อตัวเองดี ต่อเมื่อตัวเองมีความสามารถ แต่ถ้าสงเคราะห์คนอื่นโดยมีรากฐานหรือหลักของการปฏิบัติที่ไม่ถูกต้อง ในการสงเคราะห์อย่างนั้นก็อาจจะทำให้มีอันตรายเพิ่มขึ้นได้เหมือนกัน ฉะนั้น การที่จะสงเคราะห์จะต้องขัดเกลาตัวเองเสียก่อน จะต้องรู้จักตัวเองเสียก่อน จะต้องสร้างความดีในตัวเองเสียก่อน ถึงจะสงเคราะห์ผู้อื่นได้ ทั้งนี้จะเห็นได้ว่า ถ้าเรามีจุดประสงค์ที่จะตั้งเป็นกลุ่มพุทธศาสนาเพื่อแก้ไขสังคมหรือแก้ไขภายนอกก็จำต้องศึกษาตัวเองก่อน

ถ้าจะเป็นการชุมนุมกันหรือรวมกลุ่มกัน เพื่อศึกษาพุทธศาสนาหรือที่เรียกว่า พุทธศาสตร์ มาใช้คำว่าพุทธศาสตร์ก็อาจจะเพราะว่าอยากจะให้ดูเป็นว่า พุทธศาสนาเป็นวิทยาศาสตร์อย่างหนึ่งแขนงหนึ่ง เป็นวิชาแขนงหนึ่งซึ่งจะต้องมาศึกษาและมาวิจัย มาศึกษาเพื่อที่จะให้ตั้งเป็นตำรา ทำอย่างนั้นก็มีประโยชน์เหมือนกัน เพราะว่าเป็นการประมวลคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า เพื่อที่จะให้ผู้อื่นสามารถที่จะได้ใช้ประโยชน์อย่างสะดวกที่สุด จึงทำเป็นการแปลบ้าง การประมวลบ้าง การถกเถียงมีการอภิปรายบ้าง การทำสิ่งเหล่านั้น ถ้าทำด้วยจุดประสงค์ที่ดีและด้วยความสามารถก็ย่อมมีประโยชน์ แต่ว่าถ้ามีการศึกษาวิจัย พุทธศาสตร์ เพื่อที่จะสร้างตำราใหม่ อันนั้นก็ไม่ชอบ เพราะตำรามีอยู่แล้ว ตำราคือคำสั่งสอนต่าง ๆ ของพระพุทธเจ้า ซึ่งมีอยู่ในพระไตรปิฎกและในอรรถกถาต่าง ๆ ครบถ้วน มีจนบอกได้ว่ามีมากเกินความจำเป็นของแต่ละบุคคล แต่ว่าที่ต้องมีมากเพราะว่า อย่างที่กล่าวไว้ว่าแต่ละคนก็มีฐานะของตัว แต่ละคนก็จะได้เลือกได้ การศึกษาดังนี้เรียกได้ว่าเป็นการศึกษาปริยัติ ปริยัตินั้นก็คือหลักการต่าง ๆ ที่เป็นตำรานั้นเอง การศึกษาปริยัติจึงเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาพุทธศาสนา เป็นส่วนหนึ่งของเป้าหมายที่สมาชิกสมาคมต่าง ๆ ในทางพุทธศาสนาควรที่จะได้สนใจ

ปริยัตินี้ก็มีการศึกษาได้ด้วยจุดประสงค์ต่าง ๆ กันเหมือนกัน เช่น ศึกษาปริยัติเพื่อที่จะมาถกเถียงกัน อาจจะเป็นการทะเลาะกันด้วยซ้ำ อันนี้อาจจะไม่ค่อยได้ประโยชน์นัก แต่ว่ามีการทำกันมาก มาถกเถียงกันมาก ข้อนี้คนนี้พูดว่าอย่างหนึ่ง อีกคนก็แย้งว่าไม่ใช่อย่างนั้น ก็ถกเถียงทะเลาะกัน บางทีหน้าดำหน้าแดงจนกระทั่งเป็นศัตรูกันก็มี อย่างนั้นเท่ากับได้ศึกษาปริยัติสำหรับมาทะเลาะกัน สำหรับมาหาความทุกข์ สำหรับ มาหาความไม่สงบ จึงเป็นการศึกษาที่อาจจะไม่ค่อยได้ประโยชน์นัก เพราะว่าเป็นการศึกษาเพื่อมาโอ้อวดกัน เป็นการศึกษาเพื่อที่จะมาทะเลาะกัน เอาดีก็หมายความว่าเป็นการยึด เป็นมานะที่แรง ซึ่งเป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกับจุดประสงค์ของพระพุทธศาสนา มีผู้ที่ศึกษาปริยัติ ของพระพุทธศาสนานี้สำหรับเก็บเอาไว้ ท่านเรียกว่าศึกษาพระปริยัติเป็นขุนคลัง คือหมาย ความว่าเก็บ...เก็บ...เก็บ...เก็บ...เอาไว้ เก็บเอาไว้เพราะว่าอยากเก็บ อันนี้ก็เป็นวิธีอย่างหนึ่ง ที่อาจจะไม่ค่อยได้ประโยชน์นัก แต่ว่าก็ยังดีกว่าที่จะศึกษาปริยัติมาสำหรับทะเลาะกัน เพราะว่าการทะเลาะนั้นทำให้เกิดความไม่สงบ ทำให้เกิดความรุนแรง ทำให้เกิดแตกแยกกัน ทำให้เกิดทิฐิมานะในตัวเอง ไม่เห็นสว่าง การที่จะศึกษาปริยัติเพื่อเป็นขุนคลังนั้น ก็ไม่ได้ประโยชน์นัก และอาจจะเสียอยู่ที่ว่าเท่ากับเราเป็นผู้ที่เก็บของโบราณ เราเป็นเหมือนคนที่สะสมเพราะว่าเรารักเราชอบ มันก็เป็นโลภหรือเป็นราคะก็ได้ ไม่เป็นสิ่งที่จะขัดเกลาให้เรามีความสบายใจแต่ประการใด อาจจะมีความพอใจที่ว่ามีปริยัติเยอะแยะ มันสนุกดีหรือมันน่าชื่นชมแต่ก็เป็นสุขชั่วแล่น ฉะนั้นการศึกษาปริยัติเพื่อที่จะเก็บไว้เฉย ๆ นั้น ย่อมเป็นสิ่งที่ไม่ได้ถึงจุดประสงค์ และอาจจะนำไปสู่ความเดือดร้อนบ้างเหมือนกัน เพราะว่าเราเรียน ปริยัติเราสะสมปริยัติ บางทีมันตกหล่นบ้าง บางทีก็ลืมบ้าง ก็เกิดโทมนัสว่า เอ.........ข้อนี้ เราลืมไปเสียแล้ว มันหายไปเสียแล้ว เพราะว่าเราเรียนเราจำมันย่อมลืมได้ โดยเฉพาะ อย่างผู้ที่เคยจำได้ และเดี๋ยวนี้ก็จำไม่ได้ ก็เดือดร้อนกลุ้มใจ ความกลุ้มใจนั้นก็ไม่รู้จะไปแก้ไขอย่างไร เพราะว่าลืมเสียแล้วว่าท่านแก้อย่างไร ลืมปริยัติว่าเวลากลุ้มใจท่านแก้ด้วยอะไร ก็ลืมไปก็กลุ้มใจยิ่งกลุ้มก็ยิ่งกลุ้มว่ากลุ้ม ก็นับว่าการเรียนปริยัติอย่างนั้น เพื่อเก็บไว้เฉย ๆ ก็ไม่สู้จะดี

การศึกษาปริยัติก็มีอีกอย่างหนึ่ง คือศึกษาปริยัติแล้วที่เรียกว่าปฏิบัติ เวลาฟังปริยัติหมายความว่าคำสั่งสอนใด ๆ อ่านคำสั่งสอนใด ๆ มาแล้วก็มาคิด มาคิดให้เข้าใจ มาคิดให้รู้ มาคิดให้แจ้ง อันนี้แหละเรียกว่าปัญญาได้ เวลาพูดถึงปริยัติข้อใดเอามาคิดว่า ท่านหมายความว่าอะไร แล้วมาดูที่จิตใจของเราว่ามันตรงหรือไม่ มีเหตุอย่างนั้นมันตรงไหมที่ท่านสอน อันนี้ก็หมายความว่าเป็นการปฏิบัติ ฉะนั้น ถ้าเรียนปริยัติมาข้อใดแล้วมีเวลา เมื่อใด ก็มาพิจารณาถึงข้อปริยัติในระหว่างที่ยังไม่ได้ลืมคำสั่งสอนนั้น มาดูจิตใจของเรา การดูจิตใจนี้ก็คือการปฏิบัติ ไม่ต้องมีอย่างอื่น การดูจิตใจนั้นอย่างเดียวเป็นการปฏิบัติ ฉะนั้น ถ้าเรียนปริยัติ หรือได้ฟังปริยัติ ได้เห็นปริยัติ ได้รู้สึกปริยัติ หมายความว่าได้ไปที่ไหนได้เห็นโลกเป็นอย่างนั้น ๆ นั่นเป็นปริยัติทั้งนั้น เอามาพิจารณาว่าเวลาเราเจอสิ่งของเหล่านั้น ใจของเรารู้สึกอย่างไร นี้เป็นการปฏิบัติ และมาพิจารณาว่าทำไมมันเกิดอย่างนั้น ก็เป็นการปฏิบัติ ถ้าหากว่าเมื่อฟังปริยัติ อ่านปริยัติ ประสบปริยัติแล้วมาปฏิบัติคือดูที่ใจ จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง เพราะว่าปริยัตินั้นลืมไปแล้ว แต่ใจที่สัมผัสและศึกษาอารมณ์ ต่าง ๆ ไม่ลืม ไม่มีทางลืม เพราะว่าเห็นแล้ว เห็นว่าอะไรเป็นจริงแล้ว เมื่อเห็นจริงแล้ว ไม่มีทางลืม

ฉะนั้น การปฏิบัตินั้นก็เป็นสิ่งที่สำคัญมาก โดยมากพูดถึงปฏิบัติก็กลัวแล้ว เพราะว่าปฏิบัตินั้นมีวิธีต่าง ๆ แล้วก็โดยมากวิธีต่าง ๆ นั้นบรรยายกันมาว่า ต้องทำอย่างโน้น อย่างนี้ ต้องทรมาน ต้องเหน็ดเหนื่อย ต้องเสียเวลามาก ไม่สามารถที่จะปลีกตัวออกมาปฏิบัติ ความจริงปฏิบัติพระพุทธศาสนาตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้านั้นไม่ใช่ของยาก แต่ละคนทำได้ทั้งนั้น แต่ว่าจะต้องมีความตั้งใจ เมื่อเราอยากที่จะปฏิบัติธรรม มีความอยากแล้ว ก็หมายความว่าเรายินดี เราอยากที่จะปฏิบัติ ถ้าเราสนใจพระพุทธศาสนาและปฏิบัติธรรมของพระพุทธศาสนา เริ่มสนใจก็เริ่มทำได้แล้ว เพราะว่าถ้าคนเราไม่อยากปฏิบัติ ขี้เกียจปฏิบัติ หรือไม่คิดอ่านที่จะปฏิบัติก็ย่อมไม่ได้ปฏิบัติ เมื่อไม่ได้ปฏิบัติแล้ว ความมืดก็ครอบคลุมเพราะว่าไม่ได้เปิดไฟ แต่ถ้าเราอยากขึ้นมาและเห็นว่าศาสนานี้เป็นสิ่งที่มีประโยชน์ ก็ย่อมเป็นการเปิดไฟ แม้จะริบหรี่ก็เป็นความสว่างให้เห็น อย่างเช่นเราเข้าไปในห้องที่มืด แล้วเราก็ไม่รู้จักห้องนั้น ไม่ทราบว่าสวิตซ์ไฟอยู่ที่ไหน เรามีไฟฉายแล้วก็เปิดไฟฉายอันริบหรี่นั้น หรือขีดไม้ขีดที่เป็นแสงสว่างที่ริบหรี่ไปหาสวิตซ์ไฟ ถ้าเราไม่ไปหาสวิตซ์ไฟเราก็ไม่สามารถที่จะเปิดไฟที่มีอยู่ในห้องนั้น คือมีหลอดไฟ มีสายไฟ มีสวิตซ์ไฟ ครบถ้วนในห้องนั้น เราไม่สามารถที่จะหาพบนอกจากจะบังเอิญ โดยบังเอิญเราไปแตะ สวิตซ์ไฟแล้วก็เปิดขึ้นมา แต่ว่าโดยมากก็ต้องหา เมื่อหาได้แล้วด้วยไฟริบหรี่ที่เรามีอยู่กับตัว เราก็สามารถไปเปิดไฟได้ ไฟริบหรี่นี้คือความสนใจเบื้องต้น เมื่อเราไปเปิดไฟได้แล้ว ก็จะสว่างขึ้นมา เราก็จะมีความดีอกดีใจ มีความพอใจว่าทำตามวิธีนี้ได้ผลดี มันสว่าง ไฟที่อยู่ในห้องนั้นอาจจะไม่สว่างเต็มที่ อาจจะมีหลายแห่ง ก็เปิดไฟอันนั้นก็มีความปิติยินดี แล้วเป็นอันว่าเราพอใจในการปฏิบัติเช่นนั้น คือเปิดสวิตซ์ไฟมันมีความสว่างดี เปิดสว่างดี ก็ย่อมมีความพอใจใหญ่ สบายใจ มีความร่าเริงใจ ความร่าเริงใจนี้ ความสบายใจ เบื้องต้นนี้ เป็นปัจจัยสำคัญของการปฏิบัติพุทธศาสนา ท่านเรียกว่าฉันทะ คือ มีความ พอใจในการปฏิบัติ มีความพอใจในการค้นคว้า

เมื่อมีความพอใจในการค้นคว้า เราก็ต้องค้นคว้าต่อไป ไม่ใช่พอใจเพียงแค่นั้น เพราะว่าความสว่างความดีความสุขความพอใจในการปฏิบัตินั้นยังมีอีกมาก ก็ต้องเพียรที่จะปฏิบัติงานของพระพุทธศาสนาต่อไป อันนี้ก็จะต้องมีวิริยะ วิริยะนี้เป็นสิ่งที่สำคัญมาก เมื่อเริ่มต้นแล้วต้องมีวิริยะ หมายความว่าต้องเพียร ต้องมีความขยัน วิริยะนี้ก็คู่กับขันติ คือมีความอดทน บางทีเวลาเราทำงานอะไรก็ตามทั้งในทางโลกทางธรรม เราทำงานแล้วเหนื่อย เมื่อเหนื่อยก็ต้องมีความอดทนในความเหนื่อยนั้น ก็ต้องมีความเพียรที่จะปฏิบัติ ต่อไป ฉะนั้น พูดไปก็ต้องเห็นว่าความเพียรกับความอดทนนั้น เป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่จะทำให้งานใด ๆ บรรลุผลได้ เมื่อมีความเพียรมีความอดทนแล้วสิ่งอื่นก็มา แต่ในความเพียรใน ความอดทนนี้ก็ต้องมีการเอาใจใส่ การเอาใจใส่นั้นคือติดตามอยู่ตลอดเวลาว่างานของเราไปถึงไหน แล้วก็ไม่ควรจะเผลอ ต้องให้มีการดูติดตามไม่ฟุ้งซ่าน เมื่อปฏิบัติเช่นนั้นก็จะยิ่งก้าวหน้าใหญ่ งานต่าง ๆ ก็จะมีความสำเร็จได้ ไม่ใช่งานทางพุทธศาสนาเท่านั้น งานอื่น ๆ ในโลก งานในหน้าที่ หรืองานในทางส่วนตัว งานทุกอย่างนั้นจะก้าวหน้าไปได้โดยดี จะไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ และจะว่าราบรื่นได้ เพราะแม้จะมีอุปสรรค อุปสรรคเหล่านั้น ไม่ใช่เป็นอุปสรรคที่จะข้ามไม่ได้ ถ้ามีความเพียรความอดทนความเอาใจใส่ และเมื่อปฏิบัติงานดังนี้ก็จะต้องทบทวนอยู่เสมอ ดูให้ชัดว่างานที่เราทำไปมันไปถึงไหน งานนั้นไปในทางที่ถูกต้องหรือไม่ เพราะบางทีถ้ามีความอดทน มีความเพียร และก็มีความเอาใจใส่ อาจจะเอาใจใส่อย่างไม่ถูกต้องนัก คือ เช่นเดียวกันกับการเดินทางไปที่ไหน สมัยนี้ก็ต้องแล่นรถ เราก็แล่นรถไปตามทาง มีทางแยกเราก็เห็นว่าทางนี้ถูกต้องแล้ว แต่ว่าแท้จริงเราเลี้ยวผิด อาจจะเป็นได้เพราะว่าดูท่าทางเป็นเช่นนั้น ก็จะต้องทบทวนว่าทางนั้นถูกต้องหรือไม่

อย่างเมื่อครั้งไปภาคอีสาน ดูในแผนที่ว่าหมู่บ้านแห่งหนึ่งอยู่ในแผนที่แล้ว เราก็เห็นว่าทางที่ควรจะไปหมู่บ้านหนองแคร่นั้นอยู่ข้างทาง ซึ่งบนแผนที่เขียนว่าเป็นทางประ หมายความว่าจะเรียกว่าเป็นทางเกวียนก็ได้หรือเป็นทางเดิน แต่ว่าเราทราบว่ามีทาง ร.พ.ช. ผ่านมาใกล้แถวนั้น และก็มีทางอีกทางหนึ่งที่จะไปเชื่อมกับทาง ร.พ.ช. ได้ เราก็แล่นไปทางถนนใหญ่ ถึงที่ ๆ จะเลี้ยวเราก็บอกเลี้ยวซ้าย แล้วก็เลี้ยวซ้ายไปในถนนที่เป็นทางประอีกแห่งหนึ่งให้ไปถึงทาง ร.พ.ช. เมื่อถึงทาง ร.พ.ช. แล้ว ในแผนที่เขียนไว้ว่าให้เลี้ยวซ้าย แล้วก็ตรงไปลงจากทาง ร.พ.ช. เขียนไว้อย่างนั้น แต่ว่าเราก็แล่นรถไป แล่นไปขึ้นทาง ร.พ.ช. แล้วทาง ร.พ.ช. นั้นเลี้ยว เลี้ยวแล้วก็ไม่มีทางแยกแต่ประการใด ก็แล่นต่อไปข้ามสะพานไปถึงบ้านอีกบ้านหนึ่ง เราก็ฉงนว่าบ้านนี้มันอยู่ที่ไหน แล้วก็ทิศทางที่เราไปนั้นไปทางเหนือประมาณ 2 กิโลเมตร ซึ่งมันไม่ถูก แต่ว่าไม่รู้ตัวเพราะว่าไม่ได้ทบทวนตลอดทาง แต่ไปถึงตรงนั้นเราก็ทราบว่ารู้สึกว่าต้องผิดแน่ จึงมาดูทิศทางและแผนที่อีกที ก็เลยปรากฏว่าจะต้องลงจากถนน ร.พ.ช. ตรงที่ใกล้เลี้ยวนั้นเอง แล้วก็กลับหลังหันลงมาประมาณ 2 กิโลเมตร แล่นมาถึงทางเลี้ยว ตรงนั้นมีทางลงไปเลี้ยวขวาไปบ้านหนองแคร่ ก็กลับเลี้ยวขวาลงไปตามทางที่เรามาแต่เดิม แล้วลงไปประมาณ 100 เมตร จึงเลี้ยวขวาอีกที แล้วไปทางประนั้นก็ไปถึงบ้านหนองแคร่ได้ ดังนั้นก็เห็นได้ว่าเราต้องพิจารณาทุกฝีก้าวว่า ตรง เลี้ยวขวานั้นความจริงยังไม่ถึงทาง ร.พ.ช. มันเป็นเลี้ยวขวาที่อยู่ในแผนที่เดิม และก็ไปถึงหนองแคร่ได้ ถ้าตั้งแต่ต้นได้มาพิจารณาดูชัด ๆ และติดตามตลอดไป ก็จะไม่ต้องเสียเวลา ไปต่อไปในทางที่ผิด แต่ถ้าเรามีความเพียรบอกว่ามีความเพียรอดทนกันไป ทางมันไกล แล่นไปตาม ร.พ.ช. นั่นจะไปถึงไหน มันจะออกไปโน่น จะข้ามไปถึงถนนไปนครพนมไปเลย หมายความว่าถ้าสมมุติว่าเราเอาหัวชนฝา เราเพียรมีความอดทนแล่นรถไป 2 ชั่วโมง ไปถึงนครพนมจะมีประโยชน์อะไร มันจะไม่มีประโยชน์อะไรเลย แล้วก็จะเสียหายเพราะว่าเราจะเหน็ดเหนื่อยเปล่า และก็เสียน้ำมันซึ่งแพงนักในสมัยนี้เพราะไกลมาก หมายความว่าถ้าเรามีความเพียร ความอดทน และความจ้องดูถนนที่แล่นไปนั้นเท่านั้นเอง ไม่มีการ ทบทวนเป็นระยะ ๆ ว่าเราไปถึงไหน เราก็ไม่สามารถที่จะไปถึงจุดหมายที่ถูกต้องนอกจากจะบังเอิญ เพราะฉะนั้นก็จะต้องประกอบด้วยสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ให้ครบถ้วนถึงจะดำเนินไปได้โดยดี

ที่กล่าวมานี้ก็เป็นทางที่จะให้ได้ปฏิบัติงานของธรรม หรือปฏิบัติพุทธศาสนาในทางที่เรียกว่าปฏิบัติ เริ่มต้นตรงนี้อย่างนี้ และที่ว่านี้ก็จะเป็นประโยชน์สำหรับการปฏิบัติงานทุกอย่าง ไม่ใช่งานของการปฏิบัติธรรม เป็นประโยชน์สำหรับการปฏิบัติงานของตัว ทั้งเด็ก ทั้งผู้ใหญ่ทั้งผู้หญิงทั้งผู้ชาย มีประโยชน์ทั้งนั้น ใครมีหน้าที่อะไรมีงานอะไร ถ้าทำตามหลัก นี้ก็มีความสำเร็จได้แน่ ๆ บอกว่าแน่ ไม่ใช่อาจจะ เป็นสิ่งที่แน่เพราะว่าจิตใจของเราจะได้ปฏิบัติในทางที่ถูก

คราวนี้ก็ยังไม่ได้พูดถึงว่า พุทธศาสนานี้ปฏิบัติที่ไหน ปฏิบัติอย่างไร เพราะว่าคนที่ศึกษาพระพุทธศาสนา หรือมาตั้งเป็นพุทธสมาคม หรือเป็นกลุ่มศึกษาพุทธศาสนา บางที่ก็ยังไม่ทราบว่าการปฏิบัติธรรมนั้นเริ่มที่ไหน เพราะที่พูดถึงวิธีการที่จะเริ่มปฏิบัติได้นั้น ก็ไม่ได้บอกว่าเริ่มปฏิบัติที่ตรงไหน นอกจากมาเปรียบเทียบว่าเข้าไปหาสวิตซ์ไฟเพื่อจะเปิด ให้มีความสว่าง และเมื่อมีความสว่างแล้วก็ดูทางได้ และไปดูทางที่จะทำให้สว่างยิ่งขึ้น สวิตซ์ไฟนั้นอยู่ที่ไหน คือสวิตซ์ไฟนั้นเราเอาแสงไฟเท่าที่เรามีริบหรี่นั้นไปฉาย แล้วก็ไปเปิดสวิตซ์ไฟ สวิตซ์ไฟนี้คืออะไร เพราะท่านพูดอยู่เสมอว่าพระพุทธศาสนานั้นเมื่อได้ปัญญา ก็มีความสว่าง เมื่อปฏิบัติธรรมก็ได้ปัญญา ได้แสงสว่างปัญญานั้นก็ดูจะเป็นสวิตซ์ไฟ แต่ถ้าดู ๆ ไปปัญญานี้ปัญญาในอะไร ก็ปัญญาในธรรมนี่ ปัญญาในธรรมไม่ใช่สวิตซ์ไฟ ปัญญาในธรรมนั้นคือแสงสว่าง สำหรับเปิดไฟให้สว่างคือให้ได้ถึงปัญญานั้นก็จะต้องมีสวิตซ์ไฟ สวิตซ์ไฟนั้นคืออะไร หรือว่าสวิตซ์ไฟนั้นจะพบอย่างไร แต่การที่จะบอกว่าสวิตซ์ไฟคืออะไรนั้น ก็คือใจเรา ใจหรือจิต จิตหรือใจก็ได้ แล้วบางทีท่านก็เรียกว่าจิต บางท่านก็เรียกว่าใจ บางท่านก็บอกว่าจิตคือใจ บางท่านก็บอกว่าใจคือจิต บางท่านก็บอกว่าจิตไม่ใช่ใจ หรือบางท่านก็บอกว่าจิตคือเป็นอาการของใจ อาการของใจนี้แปลว่าอะไร ใจเป็นสิ่งที่เรามี ทุกคน เป็นสิ่งที่เราไม่เห็น เป็นสิ่งที่คนอื่นไม่เห็น แต่ว่าใจนี้จะเป็นผู้บงการการกระทำของเราทั้งหลาย จึงต้องพยายามดู แต่ใจนี้เราไม่ดูก็ไม่เห็น ถ้าดูด้วยตา ด้วยตาที่มองดูภูมิประเทศ ดูใครต่อใครดูตึกอาคารนั้น ตานั้นจะไม่เห็น ท่านก็เรียกว่าตาใจคือความรู้ ตาใจนั้นก็คือเป็นสิ่งที่จะใช้สำหรับได้ปัญญา ได้เห็นแสงสว่างของปัญญา

คราวนี้เราก็เจอแล้วว่า ส่วนหนึ่งของสวิตซ์ไฟหรือส่วนหนึ่งของกลไกที่จะทำให้มีความสว่างคือใจ ใจนี้เมื่ออยากทราบก็จะต้องปฏิบัติหลายอย่าง ตอนแรกเราจะไม่เห็นใจ เพราะว่าเมื่อเราดูไปเราก็เกิดความฟุ้งซ่าน เราเกิดความรู้สึกโลภ รู้สึกอาจจะโกรธด้วยซ้ำ จึงทำให้มีสิ่งที่มาปิดคือปิดด้วยสิ่งที่ท่านเรียกโมหะ คือความโง่ความไม่รู้หรือรู้ไม่จริง มันปิดบังใจและปิดบังความจริง ฉะนั้น จะต้องหาทางที่จะเปิด เปิดม่านนั้น เมื่อเปิดม่านนั้น ก็จะต้องพยายามที่จะทำให้ใจนี้สงบ อันนี้ก็มาถึงที่เรียกว่าสมถะหรือสมาธิ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ได้น่ากลัวเท่าที่ว่า บางคนก็บอกว่าการนั่งสมาธินี้ ระวังดี ๆ อาจจะเป็นบ้าก็ได้ อาจจะแย่ ลำบากไม่มีทางที่จะทำ น่ากลัว แต่ว่าสมาธินี้ก็ต้องเริ่มอย่างเบา ๆ ก่อน คือว่าจะต้องมี ความตั้งใจให้จิตใจนี้ไม่ไปเกาะเกี่ยวกับอะไรก็ตาม หมายความว่าจะต้องเริ่มต้นด้วยการ ปัดกวาดสิ่งที่เป็นม่าน หรือจะเป็นสิ่งที่คลุมไม่ทำให้สงบได้ ไม่ทำให้เกิดความนิ่งแน่ได้ การที่จะให้เกิดความสงบคือสมาธินี้ จึงต้องพยายามดูให้เห็นว่าอะไรมาปิดบัง เมื่อถอนสิ่งที่ปิดบังนั้นทันใดก็ได้สมาธิ โดยมากเราจะทำอะไรเราก็คิดถึงอะไรสารพัดไม่แน่ คือหมายความว่าเราไปติดในเรื่องอื่น อย่างสมมติว่าเราจะเดินเดินไปไหน ถ้าสมมติเราลุกขึ้นยืน แล้วเราอยากออกจากห้องโถงนี้ เราไม่เห็นประตู เราไม่เห็นอะไร เราจะต้องถอนสิ่งที่อยู่ข้างหน้าตาเราก่อน หันไปในทางที่จะเห็นสิ่งที่เหมาะสมในการกระทำคือประตู ถ้าสมมติว่าเราดูฝาผนังหรือดูม่านหรือดูเพดาน สิ่งเหล่านั้นมันปิดบังไม่เห็นประตู เราก็จะต้องเอา จิตใจของเราออกไปจากฝาผนัง หรือออกจากเพดาน หรือออกจากม่าน เอาไปไว้ที่ประตู หมายความว่าขั้นแรกเราต้องการประตู เราก็จะต้องทิ้งฝาผนังหรือเพดานหรือม่านที่เรากำลังดู หมายความว่าสิ่งที่กีดขวางไม่ให้สามารถที่จะได้เห็นสิ่งที่เราต้องการ ถ้าเราบอกว่า เราดูฝาผนังบ้าง ดูเพดานบ้าง ดูม่านบ้าง เราไม่มีทางที่จะดูประตู แต่ว่าถ้าเราตัดสินใจว่า ตอนนี้ไม่ใช่ภาระของเราที่จะดูเพดาน ดูฝาผนังหรือดูอะไร เป็นภาระที่จะไปหาประตู เราก็จะถอนออกมาจากสิ่งที่เรากำลังทำอยู่ ที่กำลังฟุ้งซ่านอยู่ ส่วนมากเรามีความชอบอะไร ก็เรียกว่ามีกามราคะ มีโทสะคือพยาบาท และบางทีก็ไม่ใช่โทสะหรือราคะอะไร มีความฟุ้งซ่านแกว่งไกวไปที่โน่นที่นี่ เดี๋ยวอันนี้ก็ไม่เอา อันโน้นก็ไม่เอา มันไม่มีทางที่จะมีความสงบ หรือบางทีเราก็พยายามหาความสงบ เราไม่มีความเพียรพอ เรามันง่วงเรามันหาว บางที่เราก็เกิดมีสิ่งที่ทำให้ไม่สามารถ มันย่อหย่อน บางทีก็ไม่เชื่อว่ามีประตูด้วยซ้ำ ต้องปัดกวาดความลังเลสงสัยอะไรต่าง ๆ เหล่านี้ สื่งที่ไม่ดีคือสิ่งที่ทำให้เราฟุ้งซ่าน ทำให้เราไม่สามารถที่จะทำใจให้นิ่ง ๆ เพราะว่ามีสิ่งที่มาปิดบังดังนี้ แต่ถ้าเราพยายามที่จะดูว่ามีสิ่งที่ปิดบัง และก็บอกว่าเอา ตอนนี้มันไม่ใช่เรื่องไม่ใช่เวลาที่จะเอาสิ่งมาปิดบัง ถอนปิดบัง เหล่านี้ เราก็ได้สมาธิ ได้ทันทีเลย นี้เรียกว่าสมาธิ

สมาธินั้นเราอาจจะได้เป็นเวลาเพียงครึ่งวินาที นั้นก็เป็นสมาธิแล้ว แต่ว่าเป็นสมาธิย่อที่อ่อนมาก แต่ก็เป็นสมาธิ ข้อสำคัญที่จะต้องได้อันนี้ ให้เป็นว่าสมาธิคืออะไร โดยมากคนเราเมื่อเป็นเด็กเป็นนักเรียนท่านก็สอน คือหมายความว่าครูบาอาจารย์หรือพ่อแม่ก็สอน ให้ตั้งจิตตั้งใจเรียน ก็หมายความว่าทำสมาธินั้นเอง แล้วเราก็เรียนว่าถ้าเราตั้งใจในสิ่งนั้น ๆ ให้ดีมันก็ทำได้ เรียกว่ามีสมาธิ เพราะว่าจิตเราไปเพ่งอยู่อันเดียว แต่คนเราถ้าไม่มีสมาธิ เสียเลย หมายความว่าเป็นคนฟุ้งซ่านจริง ๆ เป็นคนที่ไม่ได้เรื่อง จะเรียนอะไรไม่ได้ จะอ่านหนังสือไม่ได้ จะพูดก็ไม่ได้ ไม่มีทางอะไรเลย คือว่าขึ้นชื่อว่าเป็นคนก็มีสมาธิ ไม่ใช่ว่าคนเราเราเสียใจเหลือเกินว่าเรามันขาดสมาธิ ถ้าคิดว่าเราขาดสมาธิเท่ากับเรามีสมาธิอยู่แล้ว เพราะรู้ว่ามีคำว่าสมาธิ เราได้เรียนรู้แล้ว ถ้าไม่มีสมาธิในตัวเลย หมายความว่าไม่มีความดีเลยในตัว ก็ไม่สามารถที่จะแม้จะคิดว่ามีคำว่าสมาธิ ฉะนั้น จุดเริ่มต้นของการปฏิบัติธรรมอยู่ที่ตัวสมาธินี้ซึ่งเรามีทุกคน เรามีความดีอยู่ในตัวทุกคน แต่ให้เห็นว่านี้เป็นจุดเริ่มต้นของการปฏิบัติธรรม คือจากสมาธิที่เรามีธรรมดา ๆ ที่เมื่อเด็ก ๆ ครูบาอาจารย์พ่อแม่ได้สั่งสอนบอกว่าต้องตั้งใจ แค่นี้ก็เป็นจุดเริ่มต้นของสมาธิ เพราะเหตุว่าการที่จะปัดกวาดสิ่งที่ปิดกั้นสมาธิ ที่ท่านเรียกว่านิวรณ์ การปิดกันนี้เราจะเอาออก มันต้องมีสมาธิ

อันนี้ พวกเราที่อยากจะศึกษาสมาธิ และศึกษาการปฏิบัติธรรมติดอยู่ตรงนี้ เพราะว่าเราไปหาอาจารย์ท่านบอกว่าต้องทำสมาธิ มีนิวรณ์ 5 อย่างนั้น ๆ มีสิ่งที่ปิดกั้น การที่จะทำให้สิ่งที่ปิดกั้นนั้นออกจะต้องตั้งใจ ต้องมีสมาธิเพื่อที่จะเอาเครื่องปิดกั้นนี้ออก เราก็งง แล้วโดยมากไม่มีที่ไหนที่จะสอนให้ทำสมาธิโดยไม่ได้บอกว่าให้เอาเครื่องปิดกั้นนี้ออก บอกว่าต้องระงับนิวรณ์ทั้งนั้น ก็หมายความว่าการระงับนิวรณ์นี้ต้องใช้อะไร ก็ต้องใช้สมาธิ จะทำอย่างไร ไก่มาก่อนไข่หรือไข่มาก่อนไก่ ความจริงใช้สมาธิระงับนิวรณ์จริง ๆ ท่านไม่ได้พูดผิด แต่ว่าเรามันไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจว่าเราต้องการสมาธิแล้วเราต้องใช้สมาธิเพื่อระงับนิวรณ์ซึ่งเป็นสิ่งที่ปิดกั้นสมาธิ เป็นสิ่งที่ทำไม่ได้ แต่ว่าถ้าเข้าใจแล้วว่าสมาธิเรามีอยู่ทุกคน มิฉะนั้นเราไม่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ถ้าเราไม่มีสมาธิหรือไม่มีทุนเดิม เราไม่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ไม่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ที่มีความฉลาดมากหรือน้อยก็แล้วแต่ แต่ว่ามีความฉลาด มีความดี มีวาสนาทุกคน ทุกคนมีมากหรือน้อยเท่านั้นเอง หรือดีหรือชั่วเท่านั้นเอง แต่เมื่อเกิดมาเป็นมนุษย์ก็เป็นสิ่งที่ประเสริฐยิ่งแล้ว เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เราทำสมาธิได้ เพราะเหตุว่าเราได้ทำมาแล้ว เราทำมาถึงเกิดมาเป็นมนุษย์ เมื่อเกิดมาเป็นมนุษย์ก็มีความดีอยู่ในตัว ความชั่วมี แล้วก็โดยมากใคร ๆ ก็ว่ามนุษย์มีกิเลส มีความชั่วเลวทรามต่าง ๆ ต้องขัดเกลา เราก็หัวหดเลย แต่ว่าความจริงไม่เป็นเช่นนั้น คือความจริงทั้งหมดที่ครบถ้วน ไม่เป็นเช่นนั้น ความจริงเรามีความเลวความชั่วในตัวทุกคนมากหรือน้อย โดยมากก็มาก แต่ว่าเรามีความดี เรามีความดีทุกคนมากหรือน้อย แต่โดยมากก็น้อย อย่างไรก็ตาม มีน้อย ๆ นี่มันเป็นทุนเดิมทั้งนั้น ไม่ใช่ว่าเราไม่มี ทุกคนสามารถที่จะปฏิบัติงานของธรรมนี้ได้ทุก ๆ คน ไม่เว้นทุกคน แต่ว่าจะต้องหารือขุดความดีที่เรามีเป็นทุนเดิมนี้มาทำให้เกิดความดีเพิ่มขึ้น ฉะนั้น ก็ใช้สมาธิที่มีอยู่เดิม อาจจะสมาธิแย่ ๆ ก็ได้ แต่ว่าเป็นสมาธิมากระตุ้นทำให้เกิดสมาธิที่ดีขึ้น ฉะนั้นสมาธิที่ดีขึ้นนั้นก็มีได้ทุกคน ก็อาศัยความเพียร ความอดทนที่อาจมีสมาธินี้ ก็เปรียบเทียบไว้กับไฟฉายเล็ก ๆ หรือไม้ขีดไฟริบหรี่ ไฟริบหรี่นั้นก็สามารถที่จะใช้อันนี้สำหรับไปทำให้สมาธิใหญ่ขึ้น ดีขึ้น อันนี้ก็เป็นการปฏิบัติธรรมเพื่อให้ได้สมาธิ

สมาธินี้ถ้าเราเอามาใช้คือสร้างสมาธิให้ดีขึ้นหน่อย แล้วเอามาใช้ ไม่ต้องทำสมาธิ ให้หนักแน่นมากนัก แต่ว่าเป็นสมาธิที่ควบคุมได้ เราทำสมาธิให้นิ่ง จิตใจให้นิ่ง ก็จะมาเห็นใจของเรา ใจจะไม่เป็นสิ่งที่ลึกลับ ใจจะเป็นสิ่งที่เปิดเผย คือเราเปิดเผยกับตัวเอง ถ้ากลัวว่าคนอื่นจะมาเห็นใจเรา จะมาทะลุทะลวงเข้ามาในใจเรา ไม่ต้องกลัว เราทะลุทะลวงเข้ามาในใจของตัวเอง เราก็ดูใจนี้ก็จะเห็นได้ต่อเมื่อใจนั้นได้รับที่เรียกว่า อารมณ์ คือสิ่งที่เราเห็นได้ด้วยตา ได้ฟังด้วยหู เป็นต้น เวลาเข้ามาแล้วเราจะเห็นว่าใจนี้ อันนี้พูด อย่างลับ ใจนี้จะมีความรู้สึกอย่างไร คือตัวใจนี้เป็นรูปร่างอย่างไร ใจนี้จะชอบ ชอบใจ หรือไม่ชอบใจ อันนี้ใช้สมาธิที่ทำให้ใจนี้นิ่งก่อน แล้วก็เมื่อมีอารมณ์ ซึ่งอารมณ์เข้ามาทุกเมื่อตลอดเวลา อารมณ์เข้ามา เรากั้นอารมณ์นั้นไว้เท่าที่มีความสามารถ ด้วยการระงับนิวรณ์ ใจนั้นจะกระเพื่อม ถ้าเปรียบเทียบได้จะเห็น จะเห็นในใจของแต่ละคน ถ้าคิดจริง ๆ ดูว่าใจนี้เป็นเหมือนน้ำที่นิ่ง สมมติว่าเราเอาน้ำมาไม่ต้องมาก เอาน้ำมาใส่ชาม อ่างก็ได้ กลับบ้านไปหาชามอ่างเอาน้ำมาใส่ให้เต็ม เอาชามอ่างนั้นมาวางไว้แห่งหนึ่ง น้ำ นั้นจะนิ่ง ทิ้งไว้ให้นิ่งสักครู่ คราวนี้เปรียบเทียบกับใจ ใจหรือน้ำนิ่งนั้น แล้วเราก็ไปหาอะไรอย่างหนึ่ง จะเป็นก้อนกรวดหรือจะเป็นอะไรก็ตามโยนลงไป น้ำนั่นเป็นอย่างไร น้ำจะกระเพื่อม หรือชามอ่างนั้นวางไว้ เราไปผลัก น้ำจะเป็นอย่างไร น้ำจะกระเพื่อม เราจะเห็นน้ำกระเพื่อม กระเพื่อมอย่างไรเราก็เห็น ถ้าเราโยนอะไรเล็ก ๆ ลงไป น้ำจะกระเพื่อม ก็เหมือนเป็นคลื่นเล็ก ๆ เสร็จแล้วถ้าเราผลักเอา มันก็จะกระเพื่อม กระเพื่อมไปคนละอย่าง ถ้าเราเอาน้ำใส่เต็มอ่าง ชามอ่างนั้นอาจจะทำให้น้ำกระฉอกออกมา หรือถ้าเราโยนอะไรที่ใหญ่ลงไป น้ำต้องกระเซ็นออกมาทำให้โต๊ะหรืออะไรที่เราวางไว้เปียกหมด ถ้าเราผลักน้ำก็อาจจะต้องหก นี่แหละใจ เราจะเห็นได้ว่าใจของเราเมื่อได้รับการกระทบอย่างไรก็ตาม ด้วยอารมณ์ใดก็ตาม ใจนั้นจะกระเพื่อม คือใจนั้นจะเหมือนน้ำ ใจนั้นจะมีคลื่น ใจนั้นจะทำให้มีความเคลื่อนไหว เราก็เห็นได้ ถ้าใจนั้นโดนอย่างแรง ก็อาจจะหกอาจจะออกมา หมายความว่าสมมติเราอยู่เฉย ๆ ใครเข้ามาตีหัวเราหรือมาต่อยเราก็โกรธแล้วก็ต่อยตอบไปเลย นี่ใจมันหกออกมา เราก็ดู ในการดูใจนี้ก็เป็นการดูปฏิกิริยาของใจ ความเคลื่อนไหวของใจ คราวนี้ก็ได้ถึงเห็นใจแล้ว ใจที่เคลื่อนไหว เคลื่อนไหวต่าง ๆ และก็ใจนี้ทำให้เรามีความสุขหรือมีความทุกข์ ใจนี้เองเมื่อมีความสุขบางทีก็ลิงโลดดีใจมาก อาจจะทำให้เสียหายก็ได้ กระโดดโลดเต้นหกคะเมนลงมาขาหักก็ได้ เป็นสิ่งธรรมดา คือหมายความว่าแม้แต่มีความสุขก็ทำให้มีความทุกข์ต่อไปได้

พุทธศาสนาศึกษาอะไร ก็ศึกษาความทุกข์นี่เอง ความทุกข์เป็นสิ่งที่คนไม่ชอบจึงต้องการให้พ้นทุกข์ พ้นทุกข์สำหรับตัวเองแต่ละคน ๆ แต่ว่าการให้พ้นทุกข์นี้ยากมาก เพราะว่ามีความรู้สึกว่าไม่เป็นทุกข์ มีความรู้สึกว่าเป็นสุขอยากได้ความสุข แล้วก็ใครมาทำให้เราเป็นทุกข์หรือแม้แต่มีความสุขน้อยลงไป ก็ทำให้เราโกรธ ทำให้เราไม่พอใจ แล้วก็เดือดร้อนฟุ้งซ่านไม่มีความสุข แล้วก็มีความทุกข์ ฉะนั้น การศึกษาพระพุทธศาสนาก็คือ การศึกษาว่า ทุกข์นี้มาจากไหน ทำไมเราไม่ชอบความทุกข์ เราเป็นทุกข์ในทุกข์ เราก็จะต้องดูทุกข์นี้เป็นอะไร ให้เข้าใจว่าคืออะไร แล้วเราก็จะต้องเห็นว่าทุกข์นี้มีเหตุผล มีต้นเหตุ เมื่อมีต้นเหตุแล้วเราก็จะต้องดูว่า เราระงับทุกข์ได้ตรงไหน บอกว่ามีทุกข์ต้องบรรเทาทุกข์ ความจริงทุกข์นั้นบรรเทาไม่ได้ ต้องปล่อยให้ไปตามเรื่องของมัน ก็เสร็จแล้วมันก็หายไป เพราะว่ามีทุกข์ มันก็ไม่มี มันก็หมดไปได้ สุขมีสุขก็หมดไปได้ ฉะนั้น การที่พระพุทธศาสนาหรือพระพุทธเจ้าให้เราศึกษา ก็คือศึกษาให้เห็นว่าทุกข์มันมาจากไหน ให้รู้ว่าทุกข์เป็นอย่างไร เป็นอะไร แล้วก็ทุกข์มาจากไหน จะเห็นว่ามีทุกข์ก็ต้องมีการไม่ทุกข์ เมื่อมีการไม่ทุกข์ก็มีการหมดทุกข์ได้ มีการหมดทุกข์ได้แล้วก็เห็นได้ว่ามีทางที่จะหมดทุกข์ อันนี้ท่านก็เรียกว่าอริยสัจ

ฉะนั้น การศึกษาพุทธศาสนาก็คือการศึกษาอริยสัจนั้นเอง แต่ก่อนที่จะศึกษา ถึงอริยสัจหรือได้ทราบถึงอริยสัจ ก็ย่อมต้องดูกลไกของการศึกษาพระพุทธศาสนา ซึ่งเข้าใจว่าจะต้องเริ่มจากที่ได้กล่าวเมื่อตะกี้นี้คือจุดเริ่มต้น คือดูใจด้วยเครื่องมือที่มีคือสมาธิ ในการนี้ในตอนต้นนั้นก็ต้องมีความพอใจในการที่จะปฏิบัติคือชอบใจ มีฉันทะ แล้วก็มีความเพียรในการทำ มีความจดจ่อในการทำ มีความสำรวจในการทำ ถ้าหากว่าตั้งแต่ต้น สามารถที่จะทำอย่างนั้น ก็จะเคลื่อนขึ้นไป จะดำเนินไปถึงจุดสุดยอดได้สูงสุด คือได้ ศึกษาอริยสัจและเข้าใจในอริยสัจ การศึกษาพระพุทธศาสนานี้เป็นสิ่งที่ไม่ยากถ้าจิตใจจดจ่อ ถ้ามีความตั้งใจจริง และมีความซึ่งเรียกกันทุกคนว่าความสุจริต ทุกคนต้องสุจริต ถ้าทุจริตแล้วไม่มีทาง เพราะว่าไปในทางที่ผิดทุกครั้ง ไปในทางที่คิดว่าดีคิดว่าสะดวก แต่ว่ามืดมนไปในทางที่ผิดทั้งนั้น ฉะนั้นต้องมีความสุจริต เวลาให้โอวาทกับใคร หรือใครท่านผู้ใหญ่ให้โอวาทกับผู้อื่น ก็ต้องพูดว่าขอให้ทำงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต วางตัวด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ไม่ทุจริต อันนี้ก็เพื่อให้งานของส่วนราชการหรือส่วนงานนั้น ดำเนินไปด้วยดี เพราะว่าถ้าทุจริตแล้วก็พัง แต่ว่าการงานของพระพุทธศาสนาเป็นการงานของแต่ละคนเป็นส่วนตัวแท้ ๆ ก็ต้องทำด้วยความสุจริตเหมือนกัน ถ้าไม่ทำด้วยความสุจริต แล้วตัวเองก็เท่ากับเอาก้อนหินมาถ่วงที่คอแล้วโยนลงไปในนรก

ได้พูดเมื่อวันที่ 4 พูดถึงผี อันนี้พูดถึงผีอาจจะไม่ค่อยเข้าใจกัน นี่ขอพูดอีกสักนิดหนึ่ง เป็นเรื่องที่ตอนนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติพุทธศาสนานัก แต่เป็นสิ่งที่น่าจะเป็นความจริง คือคนเราไม่เห็นว่า เรามีกายและใจซึ่งทั้งสองอย่างนี้ก็มีประโยชน์ทั้งนั้น เราเกิดมาเป็นมนุษย์ก็เท่ากับได้มีใจนี้ คือตัวเรามาประกอบกับกาย ซึ่งเราก็นึกว่าเป็นตัวเราเหมือนกัน แต่ว่ากายกับใจนี้ก็สามารถที่จะนำมาใช้มาทำงานทำการมาประพฤติปฏิบัติตัวให้ดี เพื่อความสุขความเจริญของกายหรือใจ หรือของกายและใจ ฉะนั้น ต่อไปเมื่อกาย และใจนี้แยกออกไปก็ว่าเป็นผี เพราะว่ากายที่ไม่มีใจเขาก็เรียกว่าผี ผีความจริงก็เรียกว่าศพ แต่ว่าเขาก็เรียกว่าผี ผีเป็นสิ่งที่ไม่มีใครชอบ โดยเฉพาะว่าเป็นกายที่ไม่มีใจแล้ว ก็เป็นสิ่งที่ไม่น่าปรารถนาเลย เพราะว่าเป็นตามธรรมดา กายนี้เมื่อไม่มีใจอยู่แล้วก็ย่อมจะต้องสลายออกไปเป็นธาตุ แล้วก็เป็นผี แต่ใจนั้นเวลาไม่มีกายแล้วก็เป็นผีเหมือนกัน คือว่าที่ว่าจิตวิญญาณหรืออะไรก็ตามที่ตายแล้ว แล้วก็เรียกว่าผี บางทีผีมาหลอก ก็แปลกเหมือนกันที่ว่าทำไมจึงมาหลอกได้ ทว่าผีหลอกได้นั้นก็เพราะเหตุว่า ผีนั้นหมายความว่า จิตวิญญาณนั้นยังยึดมาก ยังยึดจนกระทั่งกำลังยึดนั้นกลับมาเหมือนมายึดจิตใจของผู้ที่ เห็นผี มายึดได้ชั่วขณะก็ได้เห็นว่าเป็นผี แต่ว่าผีนั้นจะเป็นผีกายที่ไม่มีใจหรือใจที่ไม่มีกาย ผีนั้นไม่มีความสามารถที่จะประกอบความดี ถ้าหากว่าเวลากายกับใจประกอบกันเป็นตัวบุคคล โดยเฉพาะเป็นมนุษย์ สามารถที่จะประกอบความดี ถ้าหากว่าแยกไปแล้วไม่สามารถที่จะประกอบความดี แต่เมื่อประกอบกันแล้ว แล้วก็ทำความดี ผีนั้นก็เป็นผีที่เรียกว่าเป็นผีดีคือเป็นผีที่มีคุณ เป็นเทวดา เป็นพรหม คือเป็นผีที่ให้คุณและเป็นคุณกับตัว ถ้าประกอบความไม่ดีคือทุจริต ไม่ได้ทำอะไรที่เป็นสิ่งที่สร้างสรรค์ก็เป็นผีไม่ดี ก็เป็นเปรตเป็นอสุรกาย ผีนั้นความจริงก็ดูไม่มีกายแต่ว่าอาจจะมาหลอกเราได้เช่นเดียวกัน เพราะว่ามายึดกายเรา มายึดตาเรา มายึดหูเราได้ แต่ว่าถ้าผีนั้นที่เมื่อมีกายทำไม่ดีเป็นผีไม่ดีนั้น เขาจะแก้ไขอะไรไม่ได้เหมือนกัน จะต้องทนทุกข์ทรมาน จะทนทุกข์ทรมานได้อย่างไรเมื่อไม่มีกาย แต่ความที่เป็นผีนั้นเองก็เลยมีความยึดนึกว่าตัวมีกาย อย่างเช่นพวกเราเอง ใจเราเราก็นึกว่าตัวเรามีกาย แต่แท้จริงก็เป็นสิ่งที่ประกอบเป็นกอง ๆ เท่านั้นเอง แต่ผีนั้นก็นึกว่าตัวมีกาย ตัวมีกายแต่ว่าจะต้องทนทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส อย่างเปรตหิวข้าวตลอดวัน ตลอดคืนตลอดเวลา กินก็ต้องกินตลอดเวลา แต่กินไม่ได้ มันก็ทรมานอย่างยิ่ง อย่างพวกเราเวลาไปไหน ๆ หรือเวลาแม่ครัวไม่ได้ทำกับข้าวให้กิน เราก็หิว มันทรมาน บางที เราไปที่ไหนไม่มีอาหาร เราไม่มีอาหาร ควรจะได้อาหารกลางวันอาหารค่ำไม่มี เราหิวมันก็ทุกข์ทรมาน ผีนั้นก็นึกว่าตัวมีกาย ก็ต้องกินอาหาร เมื่อกินไม่ได้อย่างเปรตที่ว่าปากเป็นรูเข็ม ไม่สามารถจะกินอะไร มันหิวทุกข์ทรมานอย่างยิ่ง นี้ก็เป็นทุกข์ที่ยังไม่มากนัก อย่างอื่นยังมากกว่าอีก เช่น เอาอะไรมาเสียบแทงทะลุหัวจนถึงทวารหนัก ที่ท่านว่าอย่างนั้น แทงด้วยเหล็กที่เป็นไฟ แล้วอาจจะลงกะทะทองแดงหรืออะไรก็ตาม นั่นนะเป็นความทุกข์ที่ผีมี ที่ผีไม่ดีมี เป็นความทุกข์อย่างแสนสาหัส แล้วก็ทำอะไรไม่ได้ ต้องให้หมดเวร หมดกรรม หมดเวรหมายความว่าหมดวาระเวลาที่จะหมดความทุกข์ทรมาน แล้วก็สามารถ ที่จะไต่เต้าขึ้นมาเป็นคนอีก ถ้าคนเช่นนั้นขึ้นมาก็หมายความว่าเป็นคนที่ยังไม่ค่อยขัดเกลานัก แต่ว่าขึ้นมาก็พอที่จะได้มาเป็นคน บางคนเราเห็นว่าเป็นคนเลวทรามมาก เราก็ว่ามันพวกสัตว์นรก ก็เพราะว่าพวกนี้จิตใจยังเสื่อมอยู่ จิตใจยังไม่ได้ขัดเกลา แต่พวกนี้ที่ขึ้นมาได้แล้วก็สามารถที่จะมีสมาธิได้ และสามารถที่จะมีการขัดเกลาเรียนธรรมได้แน่นอน ไม่ใช่ไม่มี เพราะฉะนั้น ที่พูดถึงผีนี่ไม่ใช่ที่จะชักชวนให้ท่านทั้งหลายได้สนใจเกี่ยวข้องกับวิชาผี ไม่ใช่อย่างนั้น แต่ว่านึกถึงว่าแต่ละคนก็เป็นผี ทุกคนเป็นผี เป็นผีมาแล้วและจะเป็นผีต่อไป เมื่อเป็นผีมาแล้ว แล้วก็ได้ประกอบกรรมดีมาพอสมควร ได้เกิดมาเป็นคนหรือเป็นมนุษย์ เราก็พยายามประกอบความดีขึ้นเพื่อให้เป็นผีดีต่อไป เมื่อเป็นผีดีต่อไปก็สามารถ ที่จะได้มีภพมีชาติที่ดีขึ้นไปต่อไป แต่ก็ต้องระวังเหมือนกัน แม้จะเป็นผีดีแล้วไปหลงในความดีความสบายของผีแล้วก็อาจจะตกนรกต่อไปได้มีเหมือนกัน ฉะนั้น ก็ต้องพยายาม ที่จะต้องพิจารณาว่า ระหว่างนี้ที่เรามีกายกับใจประกอบกัน ให้ดูกายให้ถูกต้อง ให้ดูใจให้ถูกต้อง แล้วก็จะสามารถที่แม้จะเป็นผีก็เป็นผีที่ดีได้ แต่ว่าถ้าความปรารถนาสูงสุดคือ ปรารถนาที่จะให้หลุดพ้นจากการที่จะต้องเป็นผี อย่างพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์สาวก ท่านไม่ต้องเป็นผี ท่านไม่ได้เป็นผี ท่านหลุดพ้น เรียกว่าพ้นไปได้ ต้องแยกกายกับใจ อย่างพวกเรา ๆ ที่ยังไม่ได้ความหลุดพ้น ถ้าหากว่าทำจิตใจให้ผ่องใสแล้วก็ได้ดูจิตของเรา หรือใจของเรา แล้วก็ดำเนินให้จิตใจของเราพยายามที่จะเว้นจากสิ่งที่ทำให้ตกต่ำเป็นผีไม่ดี พยายามทำอะไรที่จะทำให้ดีขึ้น จะเรียกว่าทำให้ผ่องใสขึ้น ทำให้มีความสุขขึ้น ให้ทำอะไรที่สุจริตก็จะเป็นผีดีก็คือเทวดา และการเป็นเทวดาเท่ากับได้มีเวลาไปพักผ่อนในที่ ๆ สบาย แล้วก็ต่อไปก็สามารถที่จะกลับมารับราชการโลกต่อ เป็นคนก็จะเป็นมนุษย์ที่ดี แล้วก็ขัดเกลาไปขัดเกลามาก็สามารถที่จะเป็นผู้ที่หลุดพ้น อันนี้ก็เป็นความปรารถนาของพุทธศาสนา

พูดมานานก็เพราะว่าพุทธศาสนานี้เป็นสิ่งที่ทุกคนต้องสนใจ เป็นสิ่งที่ทุกคนจะได้ ประโยชน์ถ้าเข้าในทางที่ถูก และเป็นสิ่งที่ไม่ยากที่จะปฏิบัติ พูดว่าไม่ยากในการปฏิบัติ ไม่น่าที่จะพูดนานถ้าเป็นสิ่งที่ง่าย ๆ แต่ว่าจะง่ายถ้าตั้งจิตให้ถูกที่ถูกทางด้วยความเพียรและด้วยความจดจ่อ ด้วยความรู้รอบคอบคือการสำรวจให้ดี ก็จะเป็นสิ่งที่ไม่ยาก ถ้าได้พูดให้ ยาวก็เพราะว่า สิ่งที่ง่ายนี้ทุกคนอาจจะยังไม่เห็นหรือเห็นยาก เห็นยากในสิ่งที่ง่ายจึงต้องพูดยาว แต่ถ้าทุกคนเห็นสิ่งที่ง่ายนี้แล้วก็ไม่ต้องพูดยาว ถ้าสมมุติว่าทุกคนเห็นว่าง่ายจริง ๆ หมายความว่าเห็นส่วนที่ง่ายจะพูดได้สั้นมาก คือท่านทั้งหลายขอให้มีความเพียรในการปฏิบัติจิตที่ถูกต้องที่ดี อันนี้ก็หมด พูดแค่นี้ก็พอ ไม่ต้องพูดอื่น ถ้าพูดอย่างนี้ก็ยังยาว ถ้าท่านทั้งหลายมาแล้วก็รู้ว่าทุกคนรู้ว่าง่ายแล้วรู้จริง ไม่ใช่รู้เก๋ ๆ เฉย ๆ รู้จริงว่าง่าย บอกว่า สวัสดีเท่านั้นเองก็พอ ไม่ต้องมานั่งมายืนให้เมื่อย ไม่ต้องมาพูดให้คอแห้งเปล่า ๆ ก็เพียงว่าสวัสดี เพียงว่าปฏิบัติดีชอบก็พอ แต่มันยากที่ว่าไม่เห็นว่าง่าย ฉะนั้น ในที่นี้ก็พูดเกินไปพูดมากไปก็จะเป็นอันตรายเหมือนกัน เพราะว่าอาจจะมีคนคัดค้านได้ในคำพูดที่พูดออกไป ซึ่งอาจจะดูเหมือนว่าเป็นทฤษฎี ความจริงไม่ใช่ทฤษฎีแหวกแนวอะไร เป็นส่วนหนึ่งของการสั่งสอนของพระพุทธเจ้าแท้ ๆ ไม่ใช่สิ่งที่คิดค้นขึ้นมาโดยไม่ได้มีหลักฐาน

ฉะนั้น ถ้าท่านทั้งหลายมาวันนี้มาให้พร คือตามที่บอกมาเป็นทางการว่า มาให้พรในโอกาสวันเกิดที่ผ่านมาแล้วเมื่อเร็ว ๆ นี้ ท่านมาที่นี่แล้วท่านก็ต้องมานั่งอยู่นาน แต่ก็ขอขอบใจที่ท่านมาด้วยปรารถนาดี และจะดีใจมากถ้าทุกคนที่อยู่ในกลุ่มสมาคมหรือชมรม หรือชุมนุมที่จะศึกษาพุทธศาสนา จะไปคิดทบทวนหน้าที่ของกลุ่มต่าง ๆ และหน้าที่ของแต่ละคนดังกล่าวนี้ ที่ว่าไม่ใช่ว่าจะบอกว่าเผยแพร่พระพุทธศาสนา สั่งสอนพระพุทธศาสนา ส่งเสริมพระพุทธศาสนา ขอให้ได้ไปปฏิบัติแต่ละคนในจิตใจของแต่ละคน และทุกคนจะเป็นศาสนาใดก็ตามในประเทศไทย ก็จะได้รับประโยชน์จากการปฏิบัติของท่าน คือว่าเป็น ประโยชน์ผู้อื่นในการปฏิบัติประโยชน์ของตน ฉะนั้น ถ้าทุกคนได้ปฏิบัติประโยชน์ของตน อย่างแท้จริง อย่างจริง ๆ ไม่ใช่เบี่ยงบ่ายไปในทางทุจริต ทำจริง ๆ ในประโยชน์ของตน ของธรรมของตัว หรือของโลกของตัว เป็นอันว่าได้ประโยชน์แล้วสำหรับทุกคนในโลก อาจจะมีประโยชน์สำหรับผีทั้งผีดีไม่ดี ถ้าเราทำดีแล้วเป็นประโยชน์สำหรับทุกคนทุกตนที่มี อยู่ในโลกหรือโลกอื่น เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นทั้งหมด เพราะว่าแผ่ความดีแผ่รัศมีเช่นเดียวกับที่เราว่าพระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ ท่านตรัสรู้แล้วก็แผ่รัศมีออกมา เราได้รับทั้งนั้น แม้จะเป็นคนที่ไม่ใช่พุทธศาสนา ก็ได้รับประโยชน์ของการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า

อันนี้ก็เพียงแต่ต่อท้ายนิดหนึ่งว่า ที่ท่านมาให้พรก็เพื่อประโยชนส่วนตัวของท่าน ที่ท่านมาบอกว่าให้บารมีปกเกล้าท่านก็ต้องเป็นผู้ทำ ถ้าผู้ทำเองได้ดีแล้วก็ดี มาให้พรก็เห็นว่าถ้าท่านทำตนเองให้ดีก็เป็นการให้พร เพราะฉะนั้นจะว่าขอขอบใจก็ไม่เชิง แทนจะบอกขอขอบใจ ก็ควรจะบอกว่าอนุโมทนา ควรจะบอกว่าดีใจ ดีใจที่ท่านมาให้พร เพราะหมายความว่าท่านตั้งจิตให้ดีแล้ว พรนี้ก็จะแผ่ออกมา แผ่ออกไปทั่วทั้งหมด อันนี้ถ้าพูดต่อไปก็อาจจะต้องพูดถึงแผ่เมตตาโดยไม่มีประมาณ ถ้าทำดีนี้ ศึกษาดี ปฏิบัติดี สงเคราะห์ดี ก็เป็นการแผ่เมตตาจนไม่มีประมาณ อันนี้ก็เป็นหัวข้อต่อไป คราวนี้พูดแค่นี้แล้วก็รู้สึกว่ามากเกินไปก็ถึงขอลา แล้วก็ขอบใจท่านทั้งหลายที่มาชุมนุมกัน.

(๑) เรียบเรียงขึ้นตามที่ได้บันทึกพระสุรเสียงไว้

Search Engine API Documentation


นิรุตติ์ โชติลิปิกร


บัตรประจำตัว ...................................
วันศุกร์ที่ 25 มกราคม ค.ศ. 2019 14 นาฬิกา 35 นาที 37 วินาที UTC+7

ตอบ การพิจารณา

คืออะไร ชนิดที่เราจะเลิกสนิทใจด้วย เราต้องเลิก เพราะเราไม่ได้รับตั้งสัญญาชื่อของตน ให้ไปทางนั้น, คือจะต้องให้เห็นว่า เราจะไม่เอาด้วยเด็ดขาดแบบนั้น ๆ กับธุระอย่างอื่น ที่ซึ่งต้องไว้พิจารณากระทำเป็นลำดับถัด ๆ ไป เพราะงานแก่ชีวิต และดวงจิตวิญญาณ เราจะต้องเลือก, “เพราะว่าสิ่งที่เรากระทำได้ เขาอาจจะกระทำมากไม่ได้” ในเช่นเรื่องหนังสือ เราอาจจะอ่านได้มาก ๆ แล้วจะอ่านมากเท่าไหร่ก็ได้ ในเวลาที่จะสู้ให้อ่าน จิตใจ ก็จะต้องสู้ได้ เพราะฉะนั้น เช่นนั้น ก็ย่อมจะเป็นแต่สิ่งสมควร ทั้งนั้น, ยิ่งเพราะว่า เราสมควร เพราะอะไร? เพราะว่า เราจะทำชื่อของเราให้เป็นจริง จะ ทำหน้าที่ของเรา ให้เป็นจริง เป็นไป ตามปฏิญาณ

ถึงพูดว่า ชนิดของอาชีพในโคตรตระกูล บิดา มารดาเรา ท่านจำเป็นขวนขวายแต่การวาณิช และการอยู่ไปธรรมดา ให้บุตรของตนกระทำ และคิด ไปอย่างคนที่เป็นราษฎร ไพร่ฟ้า อาณาประชาราษฎร์ เป็นประชาชน ชนิดที่ไม่ต้องไปสูงล้ำอะไรนัก กับการมีความสุขได้ ด้วยเพราะได้เกิดเป็นชีวิตมาแล้ว หาเจียมตนไว้จะดีที่สุด จึงอาจจะได้พ้นจากเภทภัยใหญ่หลวง ได้, ก็ครั้งนี้ แต่ว่า เราเฉพาะเดี๋ยวนี้ จะทำอย่างดี ทำอย่างหนัก ทำอย่างแรง พรำฝนศรัทธา แล่นให้เข้าลึกลงหัวใจที่งมงาย ให้ได้งานที่สนิทแน่น แล้วทำตลอดไป ทุก ๆ แห่ง แล้วการอื่น ๆ ไม่ใช่ เราไม่ต้องยุ่ง จะต้องให้เป็นรองลงไปทั้งหมด เช่นนั้น จึงต้องว่า แค่ การอ่านหนังสือได้มาก ๆ พวกงานหนังสือ จะต้องเป็นหน้าที่ของเรา และงานที่ชื่อว่าเกี่ยวกับภาษา ทั้งหมดทั้งปวง (นิรุตติ์) “รหัส และการขีดเขียน นั้น จะต้องเป็นงานที่เกี่ยวข้อง และทุ่มเทด้วยกะเราได้” และให้ได้พิจารณา ในการพากเพียรต่าง ๆ นั้น ไปด้วยทุกแห่ง ได้, โดยที่คนอื่น ๆ ไม่ต้องมาจำเป็นกระทำ ให้มากเท่าเรา

บัตรประจำตัว ...................................
วันจันทร์ที่ 21 มกราคม ค.ศ. 2019 11 นาฬิกา 09 นาที 18 วินาที UTC+7

ตอบ การพิจารณา

เรื่อง รายการเงินบริจาค หรือ “การให้เงินบำรุง โครงการ” หรือองค์กรอะไรนั้น ถ้าพูดไปตามทางวิเศษใจคิด, โดยที่เรา ไม่ได้มีหน้าที่ด้วยตน โดยฐานตามรับผิดชอบ ที่เกี่ยวกะเงิน กะทอง “อันจะให้จะรับอยู่ตรงไหน แล้วเป็นของตน”, เพียงแต่พูดความจริงตามสำคัญไปว่า หากเรา ท่าน ใครเขาขาดลงซึ่งทรัพย์ บทกำหนดปัจจัยในการบำรุง, หากว่า มีใครถาม เกี่ยวแก่การจะบริจาคทรัพย์ไปให้ทางนั้น ว่าให้กิจธุระดั่งนั้น อำนวยการ ดี ในหน่วยประโยชน์ นั้น ๆ ต่อไปได้, โดยฐานที่เขา ก็ยอมรับ ประกาศ และการกระทำ ว่าเขาก็สัญญาว่าจะไปทำคุณประโยชน์ ตามที่เขาได้อ้างและได้กระทำอยู่, อย่างนั้น ข้าพเจ้าก็ชอบใจ และอยากจะให้บริจาคไปดั่งนั้น ได้

นั้น การดั่งนี้ โปรแกรม กระทำรูปภาพ ซึ่งให้ออกมาได้ง่าย, และให้ไฟล์เสียง ที่มีคุณประโยชน์ นั้น ได้ตั้งอยู่และทำงาน ได้ ด้วยแบบวิธีที่ง่าย แลสะดวกให้คนธรรมดา ใช้ทำบล็อก หรือเว็บไซต์ได้, ดังนั้น เช่นนั้น การบริจาคไปทางนั้น “ข้าพเจ้าเห็นว่าชอบ สมควร”, และแม้นว่า หากข้าพเจ้า ต้องเป็นบุคคล ที่ต้องมีเงินมีทอง ได้ความจับจ่ายใช้สอย และจำเป็นต้องบริหาร ไปซึ่งสัดส่วนตามที่ยังกระจายออกไป ไม่พอดี ข้าพเจ้าเอง ก็จะขอบริจาคทรัพย์ไปสู่ตรงนั้น ด้วย เพื่อให้กิจการธุระ ที่ส่งเสริมให้เกิดความดีทางความคิดอย่างยิ่งใหญ่ “ได้ดำเนินการไป และอยู่ได้ด้วยดี” แล้วได้ไปกับเรื่องราวต่าง ๆ ไปได้อย่างเต็มที่

บทบันเทิงคดี และ งานทั่วไป


Seal Krabi.png
• กระบี่
Seal Kanchanaburi.png
• กาญจนบุรี
Seal Kalasin.png
• กาฬสินธุ์
Seal Bangkok Metropolitan Admin (green).svg
• กรุงเทพมหานคร
Seal Kamphaeng Phet.png
• กำแพงเพชร
Seal Khon Kaen.png
• ขอนแก่น
Seal Chanthaburi.png
• จันทบุรี
Seal Chachoengsao (old version).png
• ฉะเชิงเทรา
Missing-monuments-image.svg
• ชลบุรี
Seal Chainat.png
• ชัยนาท
Seal Chaiyaphum.png
• ชัยภูมิ
Missing-monuments-image.svg
• ชุมพร
Seal Chiang Rai.png
• เชียงราย
Seal Chiang Mai.png
• เชียงใหม่
Seal Trang.png
• ตรัง
Seal Trat.png
• ตราด
Seal Tak.png
• ตาก
Seal Nakhon Nayok.png
• นครนายก
Seal Nakhon Pathom.png
• นครปฐม
Seal Nakhon Phanom.png
• นครพนม
Seal Nakhon Ratchasima.png
• นครราชสีมา
Seal Nakhon Si Thammarat.png
• นครศรีธรรมราช
Seal Nakhon Sawan.png
• นครสวรรค์
Seal Nonthaburi.png
• นนทบุรี
Old picture Seal Narathiwat.png
• นราธิวาส
Seal Nan.png
• น่าน
Seal Bueng Kan.png
• บึงกาฬ
Seal Buriram.png
• บุรีรัมย์
Seal Pathum Thani.png
• ปทุมธานี
Seal Prachuap Khiri Khan.png
• ประจวบคีรีขันธ์
Seal Prachinburi.png
• ปราจีนบุรี
Seal Pattani.png
• ปัตตานี
Old picture Seal Ayutthaya.png
• พระนครศรีอยุธยา
Old picture Seal Phang Nga.png
• พังงา
Seal Phattalung.png
• พัทลุง
Seal Phichit.png
• พิจิตร
Seal Phitsanulok.png
• พิษณุโลก
Seal Phetchaburi.png
• เพชรบุรี
Seal Phetchabun.png
• เพชรบูรณ์
Seal Phrae.png
• แพร่
Seal Phayao.png
• พะเยา
Seal Phuket.png
• ภูเก็ต
Seal Maha Sarakham.png
• มหาสารคาม
Old picture Seal Mokdahan.png
• มุกดาหาร
Seal Mae Hong Son.png
• แม่ฮ่องสอน
Missing-monuments-image.svg
• ยโสธร
Seal Yala.png
• ยะลา
Seal Roi Et.png
• ร้อยเอ็ด
Seal Ranong.png
• ระนอง
Seal Rayong.png
• ระยอง
Seal Ratchaburi.png
• ราชบุรี
Seal Lopburi.png
• ลพบุรี
Seal Lampang.png
• ลำปาง
Seal Lamphun.png
• ลำพูน
Seal Loei.png
• เลย
Seal Sisaket.png
• ศรีสะเกษ
Seal Sakon Nakhon.png
• สกลนคร
Seal Songkhla.png
• สงขลา
Seal Satun.png
• สตูล
Missing-monuments-image.svg
• สมุทรปราการ
Seal Samut Songkhram.png
• สมุทรสงคราม
Seal Samut Sakhon.png
• สมุทรสาคร
Old picture Seal Sakaeo.png
• สระแก้ว
Seal Saraburi.png
• สระบุรี
Seal Sing Buri.png
• สิงห์บุรี
Seal Sukhothai.png
• สุโขทัย
Seal Suphanburi.png
• สุพรรณบุรี
Seal Surat Thani.png
• สุราษฎร์ธานี
Seal Surin.png
• สุรินทร์
Seal Nong Khai.png
• หนองคาย
Seal Nong Bua Lamphu.png
• หนองบัวลำภู
Seal Ang Thong.png
• อ่างทอง
Seal Amnatcharoen.png
• อำนาจเจริญ
Seal Udon Thani.png
• อุดรธานี
Seal Uttaradit.png
• อุตรดิตถ์
Seal Uthaithani.png
• อุทัยธานี
Seal Ubon Ratchathani.png
• อุบลราชธานี